Movatterモバイル変換


[0]ホーム

URL:


ข้ามไปเนื้อหา
วิกิพีเดียสารานุกรมเสรี
ค้นหา

Executive functions

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
บทความนี้มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษ เนื่องจากชื่อเป็นศัพท์เฉพาะทางของจิตวิทยา ราชบัณฑิตยสถานยังไม่บัญญัติภาษาไทย หนังสือเฉพาะทางใช้ศัพท์อังกฤษ

cutive functions[1] (แปลว่า หน้าที่บริหาร ตัวย่อ AF) หรือความสามารถของสมองด้านบริหารจัดการ[2],ทักษะด้านการคิดเชิงบริหาร[3] สามารถนิยามได้ว่า "เป็นทักษะที่จำเป็นในการทำกิจที่มีเป้าหมาย มีจุดมุ่งหมาย"[4] เป็นคำครอบคลุมที่ใช้กล่าวถึงกระบวนการทางประชานที่ควบคุมและจัดการกระบวนการทางประชานอื่น ๆ[5]เช่นการวางแผน (planning), ความจำใช้งาน (working memory),การใส่ใจ, การแก้ปัญหา, การเข้าใจเหตุผลโดยใช้คำ (verbal reasoning), cognitive inhibition (การมีสมาธิ), cognitive flexibility (การคิดถึงหลาย ๆ เรื่องได้พร้อมกัน), task switching (การทำงานหลาย ๆ งานได้พร้อมกัน)[6]และการเริ่มและตรวจสอบการกระทำ[7]ตามทฤษฏีทางจิตวิทยาระบบบริหาร (executive system) เป็นตัวควบคุมและบริหารกระบวนการทางประชานอื่น ๆมีหน้าที่เกี่ยวกับกระบวนการที่บางครั้งเรียกว่าเป็น "executive functions" (หน้าที่บริหาร) "executive skills" (ทักษะการบริหาร) "supervisory attentional system" (ระบบควบคุมโดยการใส่ใจ) หรือ "cognitive control" (การควบคุมทางประชาน)ส่วนprefrontal cortex ของสมองกลีบหน้าเป็นส่วนที่ขาดไม่ได้ แต่ไม่ใช่ส่วนเดียว ที่ทำหน้าที่ดังที่กล่าวมานี้[8]

ประสาทกายวิภาค

[แก้]

โดยประวัติแล้ว EF พิจารณาว่าควบคุมโดยสมองส่วนprefrontal ของสมองกลีบหน้าแต่จริง ๆ แล้วก็ยังเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอยู่[8]แม้ว่า บทความเกี่ยวกับรอยโรคในส่วน prefrontal ของสมองกลีบหน้าจะกล่าวถึงความผิดปกติของ EF และบทความเกี่ยวกับความผิดปกติของ EF ก็จะกล่าวถึงรอยโรคในส่วน prefrontal ของสมองกลีบหน้าบทความปริทัศน์หนึ่ง[8]พบว่า ความสัมพันธ์ระหว่าง EF กับสมองกลีบหน้าที่ไม่เสียหายและใช้งานได้ มี sensitivity สูง (คือถ้า EF ปกติ สมองกลีบหน้าก็ปกติด้วย) แต่มี specificity ต่ำ (คือถ้า EF ผิดปกติ สมองกลีบหน้าอาจจะปกติ)ซึ่งหมายความว่า เขตสมองทั้งในส่วนหน้าและไม่ใช่ส่วนหน้าจำเป็นต่อการทำงานปกติในระบบบริหารคือ สมองกลีบหน้าอาจจะต้องมีส่วนร่วมใน EF ทั้งหมด แต่ไม่ใช่สมองส่วนเดียวที่มีบทบาท[8]

บทความปริทัศน์ของอัลวาเรซและเอ็มมอรี่ในปี ค.ศ. 2006 แสดงว่า งานวิจัยที่ใช้การสร้างภาพสมอง (neuroimaging) หรือการศึกษารอยโรคได้ระบุถึงหน้าที่ต่าง ๆ ที่บ่อยครั้งสัมพันธ์กับเขตต่าง ๆ โดยเฉพาะของPFC[8] กล่าวคือ

  • ส่วน dorsolateral prefrontal cortex มีหน้าที่เกี่ยวกับการประมวลผลแบบ "on-line" (คือมีการประมวลผลสด ๆ ร่วมอยู่ในเหตุการณ์หรือประสบการณ์นั้น ๆ) เช่นการประสานมิติต่าง ๆ ของประชานและพฤติกรรม[9] ดังนั้น เขตนี้จึงพบว่ามีความสัมพันธ์กับความคล่องแคล่วทางภาษา (verbal fluency), ความคล่องแคล่วในการออกแบบ (design fluency), การคิดถึงเพียงเรื่องเดียวและการเปลี่ยนไปคิดเรื่องอื่น, การวางแผน, cognitive inhibition (การมีสมาธิ), ทักษะในการจัดระเบียบ, การคิดอย่างมีเหตุผล, การแก้ปัญหา และการคิดเชิงนามธรรม (abstract thinking)[8][10]
มุมมองด้านข้างของสมอง แสดงส่วน dorsolateral prefrontal cortex และ orbitofronal cortex
  • anterior cingulate cortex (ตัวย่อ ACC) มีบทบาทเกี่ยวกับแรงจูงใจ (emotional drive) ประสบการณ์ทางอารมณ์ (emotional experience) และการประสานอารมณ์ (emotional integration)[9] หน้าที่ทางประชานที่เกี่ยวข้องกันอย่างอื่น ๆ รวมทั้งการยับยั้งการตอบสนองที่ไม่เหมาะสม การตัดสินใจ และพฤติกรรมที่มีแรงจูงใจรอยโรคในเขตนี้สามารถนำไปสู่ภาวะที่มีแรงจูงใจต่ำรวมทั้งภาวะไร้อารมณ์ (apathy) ภาวะไร้แรงผลักดันและการริเริ่ม (abulia) หรือสภาวะไม่พูดและเสียการเคลื่อนไหว (akinetic mutism) และอาจจะมีผลเป็นสภาวะไร้แรงจูงใจสำหรับความต้องการพื้นฐานของชีวิตเช่นความต้องการอาหารและเครื่องดื่ม และอาจจะมีความสนใจน้อยลงในกิจกรรมทางสังคม ทางอาชีพ และเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์[9][11]
  • orbitofrontal cortex (ตัวย่อ OFC) มีบทบาทสำคัญในการควบคุมแรงกระตุ้นฉับพลัน (impulse) การตรวจดูพฤติกรรมที่กำลังเป็นไป, การดำรงรักษาพฤติกรรมที่ตั้งเป็นรูปแบบแล้ว, การมีสมาธิคิดถึงเรื่อง ๆ เดียว, และพฤติกรรมที่เหมาะสมทางสังคม[9] นอกจากนั้นแล้ว OFC ยังมีบทบาทเกี่ยวกับเป็นตัวแทนค่ารางวัลที่เกิดจากตัวกระตุ้นทางประสาทสัมผัส และเกี่ยวกับการประเมินประสบการณ์ที่ทำให้เกิดอารมณ์ที่เป็นอัตวิสัย[12]รอยโรคใน OFC อาจทำให้เกิดความไม่มีการยับยั้งชั่งใจ (disinhibition) ความหุนหันพลันแล่น (impulsivity) การประทุออกของความก้าวร้าว (aggressive outburst) ความสำส่อนทางเพศ และพฤติกรรมต่อต้านสังคม[8]

นอกจากนั้นแล้ว อัลวาเรซและเอ็มมอรี่ยังได้กล่าวไว้ว่า

สมองกลีบหน้ามีการเชื่อมต่อกันอย่างหลากลายกับเขตต่าง ๆ ในคอร์เทกซ์ ใต้คอร์เทกซ์ และในก้านสมองหน้าที่ทางประชาน "ในระดับสูง" เช่นการยับยั้งชั่งใจ การเปลี่ยนแนวความคิดหรือการคิดถึงหลายเรื่องพร้อม ๆ กัน การแก้ปัญหา การวางแผน การควบคุมความหุนหันพลันแล่น การสร้างความคิด ความคิดเชิงนามธรรม และความคิดสร้างสรรค์มักจะมีมูลฐานมาจากรูปแบบของประชานและพฤติกรรมที่ง่ายกว่า "ในระดับต่ำ" กว่าดังนั้น มโนทัศน์เกี่ยวกับ EF จะต้องกว้างขวางพอที่จะรวมโครงสร้างทางกายวิภาคต่าง ๆ ที่เป็นส่วนของระบบประสาทกลางที่มีความแตกต่างกันและแพร่ขยายไปในที่ต่าง ๆ กัน[8]

บทบาทตามสมมติฐาน

[แก้]

ระบบบริหารพิจารณากันว่า มีบทบาทสำคัญในการเผชิญหน้ากับสถานการณ์ใหม่ ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในรูปแบบที่จัดการได้โดยกระบวนการจิตวิทยาอัตโนมัติซึ่งเป็นเพียงการทำซ้ำซึ่งพฤติกรรมต่าง ๆ ที่เคยเรียนรู้มาก่อนนักจิตวิทยาดอน นอร์แมน และทิม แชลไลซ์ ได้ร่างสถานการณ์ 5 อย่างที่การทำงานแบบซ้ำ ๆ กันของพฤติกรรมจะไม่มีประสิทธิภาพ[13] คือ

  1. ที่ต้องมีการวางแผนหรือการตัดสินใจ
  2. ที่ต้องแก้ไขข้อผิดพลาดหรือต้องสืบหาข้อผิดพลาด
  3. ที่การตอบสนองยังไม่ได้มีการซ้อมมาดีหรือว่าต้องมีการกระทำรูปแบบใหม่ ๆ ในบางส่วน
  4. ที่มีอันตรายหรือยากโดยเทคนิค
  5. ที่ต้องฝืนการตอบสนองโดยนิสัยหรือต้องฝืนความอยาก

"prepotent response" (แปลว่า การตอบสนองมหาอำนาจ) เป็นการตอบสนองที่เกิดการเสริมแรง (reinforcement) ไม่ว่าจะเป็นเชิงบวกหรือเชิงลบโดยทันที หรือว่าที่ได้มีการสัมพันธ์กับตัวเสริมกำลังมาก่อน ๆ แล้ว[14]ต้องมีการทำงานของ EF เมื่อจำเป็นที่จะต้องเลี่ยงการตอบสนองเช่นนั้นซึ่งถ้าไม่มีการเลี่ยงแล้ว อาจเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติเพื่อตอบสนองต่อสิ่งเร้าของสิ่งแวดล้อมภายนอกยกตัวอย่างเช่น เมื่อมีสิ่งเร้าที่น่าปรารถนา เช่น เค้กช็อกโกแลตที่อร่อยเราอาจจะมีการตอบสนองอัตโนมัติเป็นการลองรับประทานแต่ว่า ถ้าพฤติกรรมเช่นนี้ไม่ลงรอยกับแผนการภายในอื่น ๆ(เช่น ได้ตัดสินใจมาก่อนแล้วว่าจะไม่ทานเค้กช็อกโกแลตในขณะที่กำลังลดอาหารอยู่)EF อาจจะต้องทำงานเพื่อยับยั้งการตอบสนองเช่นนั้น

แม้ว่า จะมีการพิจารณาว่าการยับยั้ง prepotent response ปกติเป็นพฤติกรรมปรับตัวตามทฤษฎีวิวัฒนาการแต่ว่าปัญหาการพัฒนาบุคคลหรือของกลุ่มชนนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ ถ้ามีการหลบเลี่ยงความรู้สึกถูกผิด (คือเลี่ยงการประพฤติให้ชอบตามศีลธรรม) เพราะเหตุแห่งความกดดันทางสังคมหรือว่า ความคิดสร้างสรรค์ต่าง ๆ เกิดการยับยั้งโดย EF[15]

มุมมองทางประวัติศาสตร์

[แก้]

แม้ว่าจะมีงานวิจัยเกี่ยวกับ EF และมูลฐานทางประสาทที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในปีที่ผ่าน ๆ มาโครงสร้างทางทฤษฎีของเรื่องนี้ไม่ใช่ของใหม่ในคริสต์ทศวรรษ 1950 นักจิตวิทยาชาวอังกฤษโดนัลด์ บรอดเบ็นต์ได้กำหนดความแตกต่างกันระหว่างกระบวนการ "อัตโนมัติ" และกระบวนการ "มีการควบคุม" (ซึ่งมีกำหนดอย่างชัดเจนยิ่งขึ้นโดยชิฟฟรินและชไนเดอร์ในปี ค.ศ. 1977)[16]และได้เสนอไอเดียเกี่ยวกับความใส่ใจโดยเลือก (selective attention) ซึ่งเป็นไปควบคู่กันกับ EFในปี ค.ศ. 1975 นักจิตวิทยาชาวอเมริกันไมเคิล โพสเนอร์ได้ใช้คำว่าการควบคุมทางประชาน (cognitive control) ในหนังสือของเขาในบทที่มีชื่อว่า "Attention and cognitive control (ระบบควบคุมความใส่ใจและประชาน)"[17]

จากนั้น งานของนักวิจัยทรงอิทธิพลต่าง ๆ เช่น ไมเคิล โพสเนอร์, โจควิน ฟัสเตอร์, ทิม แชลไลซ์ และนักวิจัยอื่น ๆ ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 ได้ตั้งรากฐานสำหรับงานวิจัยต่อ ๆ มาเกี่ยวกับเรื่อง EFยกตัวอย่างเช่น โพสเนอร์ได้เสนอว่ามีสาขาของระบบความใส่ใจเป็นสาขา "บริหาร" แยกออกต่างหากซึ่งมีหน้าที่เพ่งเล็งความใส่ใจไปยังลักษณะหนึ่ง ๆ ของสิ่งแวดล้อม[18]ส่วนนักประสาทจิตวิทยาชาวอังกฤษทิม แชลไลซ์ได้เสนอโดยมีส่วนคล้าย ๆ กันว่า ความใส่ใจมีการควบคุมโดย ""ระบบควบคุมดูแล" (supervisory system)ซึ่งสามารถเลี่ยงการตอบสนองอัตโนมัติโดยตอบสนองทางพฤติกรรมที่มีมูลฐานจากแผนการหรือความตั้งใจ[19]ในช่วงเวลานี้ ได้มีมติที่เห็นพ้องกันว่า ระบบควบคุมนี้อยู่ในส่วนหน้าสุดของสมอง ซึ่งก็คือprefrontal cortex (PFC)

ในปี ค.ศ. 1986 นักจิตวิทยาอลาน แบดดะลี ได้เสนอระบบที่คล้าย ๆ กันโดยเป็นส่วนของแบบจำลองของความจำใช้งาน (working memory) ของเขา[20]และอ้างว่า ต้องมีส่วนประกอบองค์หนึ่ง (ซึ่งภายหลังเขาให้ชื่อว่า "central executive")ที่ทำให้สามารถจัดการข้อมูลในความจำระยะสั้นได้ (เช่น คิดเลข)

พัฒนาการ

[แก้]

โครงสร้างการพัฒนาการเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ในการศึกษา EF เพราะว่า ความสามารถต่าง ๆ ของ EF พัฒนาเร็วช้าไม่เท่ากันตามกาลเวลาคือ ความสามารถบางอย่างถึงการพัฒนาการอย่างสมบูรณ์ในปลายวัยเด็กหรือวัยรุ่น ในขณะที่ส่วนที่เหลือยังพัฒนาอยู่แม้ในวัยผู้ใหญ่ระยะต้น ๆเพราะว่า สมองยังเจริญเติบโตและสร้างการเชื่อมต่อต่าง ๆ จนกระทั่งถึงในวัยผู้ใหญ่ความสามารถเกี่ยวกับ EF ได้รับอิทธิพลจากทั้งการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพในสมองและประสบการณ์ชีวิตทั้งในห้องเรียนทั้งในชีวิตจริง ๆนอกจากนั้นแล้ว การพัฒนาการทำงานของ EF ยังสัมพันธ์กับการพัฒนาทางประสาทสรีรภาพในสมองที่ยังเติบโตอยู่คือ เมื่อสมรรถภาพการประมวลผลของสมองกลีบหน้าและส่วนอื่น ๆ ที่มีการเชื่อมต่อถึงกันและกันสูงขึ้น หน้าที่ต่าง ๆ เกี่ยวกับระบบบริหารจึงจะปรากฏ[21][22]เมื่อสมรรถภาพเหล่านี้เกิดขึ้นแล้ว ก็จะเกิดการพัฒนาต่อไปบางครั้งอย่างรวดเร็วเป็นช่วง ๆในขณะที่สมรรถภาพที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นอื่น ๆ ก็จะเจริญขึ้นด้วยซึ่งบ่งถึงความแตกต่างกันของแนวทางการพัฒนาของส่วนประกอบต่าง ๆ[21][22]

วัยเด็กต้น ๆ

[แก้]

ระบบการยับยั้ง (inhibitory control) และความจำใช้งาน (working memory) เป็นกิจบริหารพื้นฐานอย่างหนึ่งที่ทำให้การพัฒนากิจบริหารที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นอื่น ๆ เช่นการแก้ปัญหาเป็นไปได้[23]ระบบการยับยั้งและความจำใช้งานเป็นระบบแรก ๆ สุดที่ปรากฏคือพบการพัฒนาเบื้องต้นได้ในทารกวัย 7-12 เดือน[21][22]และหลังจากนั้นในวัยก่อนปฐมศึกษาเด็ก ๆ จะแสดงประสิทธิภาพในงานเกี่ยวกับการยับยั้งและความจำใช้งานที่ดีขึ้นอย่างรวดเร็วโดยปกติในระหว่างอายุ 3-5 ขวบ[21][24]นอกจากนั้นแล้วก็อยู่ในช่วงเวลานี้ด้วย ที่ความสามารถในการทำงานหลาย ๆ งานได้พร้อมกัน (cognitive flexibility) พฤติกรรมมีเป้าหมาย (goal-directed behavior) และการวางแผนเริ่มเกิดการพัฒนา[21]อย่างไรก็ดี เด็กวัยก่อนปฐมศึกษายังไม่มีสมรรถภาพทางการบริหารที่สมบูรณ์ จึงยังเกิดการทำงานผิดพลาดเกี่ยวข้องกับสมรรถภาพที่กำลังเติบโตขึ้นแต่โดยปกติจะไม่ใช่เป็นเพราะความไม่มีสมรรถภาพเหล่านั้นแต่เป็นเพราะว่า เด็ก ๆ ยังไม่มีความสำนึกว่าเมื่อไรและอย่างไรที่จะใช้วิธีการบริหารหนึ่ง ๆ ในกรณีเช่นนั้น[25]

ก่อนวัยรุ่น

[แก้]

เด็กก่อนวัยรุ่นยังปรากฏการเจริญขึ้นของ EF บางอย่างที่รวดเร็วอีกด้วยพร้อมกับการเจริญขึ้นอย่างสมบูรณ์ของหน้าที่บางอย่างซึ่งบอกเป็นนัยว่า การพัฒนาของ EF ไม่ได้เป็นการเจริญขึ้นในแนว น[21][22]

ในช่วงก่อนวัยรุ่น เด็ก ๆ มีสมรรถภาพที่เพิ่มขึ้นอย่างสำคัญเกี่ยวกับความจำใช้งานทางภาษา (verbal working memory)[26]พฤติกรรมมีเป้าหมาย (โดยอาจมีช่วงที่พัฒนาเร็วที่สุดใกล้อายุ 12 ขวบ)[27]การยับยั้งการตอบสนอง (response inhibition) และความใส่ใจโดยเลือก[28]และการวางแผนและทักษะในการจัดระเบียบต่าง ๆ[22][29][30]นอกจากนั้นแล้ว ในระหว่างวัย 8-10 ขวบ cognitive flexibility (การคิดถึงหลาย ๆ เรื่องได้พร้อมกัน) โดยเฉพาะจะเริ่มเทียบกับระดับของผู้ใหญ่[29][30]อย่างไรก็ดี เปรียบเหมือนกับรูปแบบการพัฒนาที่เกิดขึ้นในวัยเด็กต้น ๆ สมรรถภาพการบริหารในเด็กก่อนวัยรุ่นมีขีดจำกัดเพราะว่าไม่สามารถใช้สมรรถภาพเหล่านี้ในกรณีต่าง ๆ กันอย่างสม่ำเสมออันเป็นผลจากการพัฒนาที่ยังเป็นไปอยู่ในระบบการยับยั้ง (inhibitory control)[21]

วัยรุ่น

[แก้]

แม้ว่าจะมีสมรรถภาพต่าง ๆ กันที่เริ่มขึ้นในสมัยวัยเด็กต้น ๆ และก่อนวัยรุ่น เช่นการยับยั้งแต่ว่า เป็นสมัยช่วงวัยรุ่นที่ระบบต่าง ๆ ในสมองจะเกิดการทำงานที่ประสานกันดีจะเป็นในวัยนี้นี่แหละที่เยาวชนจะมีสมรรถภาพทางการบริหารต่าง ๆ เช่น การยับยั้ง (inhibitory control) ที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ[31][32]เหมือนกับที่ระบบการควบคุมเกิดขึ้นในวัยเด็กและพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆการวางแผนและพฤติกรรมมีเป้าหมายจะมีการพัฒนาขึ้นตลอดระยะช่วงวัยรุ่น[24][27]นอกจากนั้นแล้ว สมรรถภาพต่าง ๆ เช่น การควบคุมการใส่ใจ (โดยอาจจะเจริญขึ้นอย่างรวดเร็วช่วงอายุ 15 ปี)[27]และความจำใช้งาน[31] ก็จะมีการพัฒนาต่อไปในช่วงนี้ด้วย

วัยผู้ใหญ่

[แก้]

ความเปลี่ยนแปลงสำคัญที่เกิดขึ้นในสมองในวัยผู้ใหญ่ก็คือการสร้างปลอกไมอีลินของเซลล์ประสาทในprefrontal cortex[21]ในช่วงวัย 20-29 ปี สมรรถภาพการบริหารจะอยู่ในระดับสูงสุด ซึ่งทำให้คนในช่วงอายุนี้สามารถทำงานทางใจที่ยากที่น่าสนใจที่สุดเป็นสมรรถภาพที่จะเสื่อมลงต่อ ๆ ไปโดยความจำใช้งานและ spatial span[33] เป็นส่วนที่เสื่อมให้เห็นมากที่สุดส่วน cognitive flexibility (การคิดถึงหลาย ๆ เรื่องได้พร้อมกัน) เป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นภายหลังและมักจะไม่เกิดขึ้นจนกระทั่งถึงอายุ 70 ปีในผู้ใหญ่ปกติ[21]สมรรถภาพการบริหารที่เสื่อมลงเป็นตัวพยากรณ์สมรรถภาพการช่วยเหลือตนเองได้ดีที่สุดในคนชรา

แบบจำลอง

[แก้]
[icon]
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูลคุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้

การประเมิน

[แก้]

การประเมิน EF ต้องอาศัยการหารวมข้อมูลมาจากหลาย ๆ แหล่งและอาศัยการสร้างภาพโดยรวมเพื่อหาแนวโน้มและรูปแบบที่เหมือนกันข้ามกาลเวลาและสถานการณ์นอกจากการตรวจสอบตามแบบแผนแล้ว วิธีการประเมินอื่น ๆ ก็ยังสามารถใช้ได้ เช่น รายการตรวจสอบมาตรฐาน การสังเกตการณ์ การสัมภาษณ์ และตัวอย่างของผลงานในอาชีพจากข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้ อาจจะสามารถอนุมานข้อสรุปเกี่ยวกับสมรรถภาพของ EF ในบุคคลนั้นได้[34]

มีการทดสอบหลายประเภท (เช่น ตามผลการทดสอบ หรือตามที่ตนรายงาน) ที่วัดประสิทธิภาพของ EF ในช่วงการพัฒนาต่าง ๆการทดสอบเพื่อประเมินผลเหล่านี้สามารถใช้เพื่อการวินิจฉัยทางการแพทย์ในกลุ่มบุคคลต่าง ๆ เพื่อการรักษาบำบัดโรค เช่น

  • Behavioural Assessment of Dysexecutive Syndrome (BADS)
  • CogScreen: Aeromedical Edition
  • Continuous Performance Task (CPT)
  • Controlled Oral Word Association Test (COWAT)
  • d2 Test of Attention
  • Delis-Kaplan Executive Function System (D-KEFS)
  • Digit Vigilance Test
  • Figural Fluency Test
  • Halstead Category Test
  • Hayling and Brixton tests
  • Iowa gambling task
  • Kaplan Baycrest Neurocognitive Assessment (KBNA)
  • Kaufman Short Neuropsychological Assessment
  • Paced Auditory Serial Addition Test (PASAT)
  • Pediatric Attention Disorders Diagnostic Screener (PADDS)
  • Rey-Osterrieth Complex Figure
  • Ruff Figural Fluency Test
  • Stroop effect
  • Test of Variables of Attention (T.O.V.A.)
  • Tower of London Test
  • Trail-Making Test (TMT) หรือ Trails A & B
  • Wisconsin Card Sorting Test (WCST)
  • Symbol Digit Modalities Test

หลักฐานจากงานทดลอง

[แก้]

ระบบการบริหารเป็นเรื่องที่กำหนดได้ยาก ดังที่นักจิตวิทยาพอล เบอร์กีส์ได้กล่าวว่า เพราะไม่มี "ความเชื่อมต่อกันระหว่างกระบวนการทำงานกับพฤติกรรม"[35]ซึ่งก็คือ ไม่มีพฤติกรรมอันใดอันหนึ่งโดยเฉพาะที่สัมพันธ์กับ EFหรือกับระบบการบริหารที่เกิดความเสียหายยกตัวอย่างเช่น ปกติจะชัดเจนว่า คนไข้ที่มีการอ่านเสียหายจะไม่สามารถที่จะทำกิจอะไร แต่ว่า จะไม่ชัดเจนว่า คนไข้ที่มี EF เสียหายจะไม่สามารถที่จะทำกิจอะไร

นี้เป็นผลของธรรมชาติของระบบบริหารโดยตรงที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการประสานงานการใช้ทรัพยากรทางประชานที่ไม่อยู่นิ่ง ที่เป็นไปในปัจจุบันและดังนั้น จะเห็นผลของการทำงานของระบบได้ก็โดยวัดผลกระบวนการทางประชานอื่น ๆนอกจากนั้นแล้ว โดยนัยเดียวกัน ระบบอาจไม่เกิดการทำงานนอกสถานการณ์ในโลกจริง ๆ (เช่น ในสถานการณ์ในแล็บ)ดังที่ประสาทแพทย์อันโตนิโอ ดามาซิโอได้รายงานว่า คนไข้คนหนึ่งมีปัญหาเกี่ยวกับระบบบริหารในชีวิตประจำวันจริง ๆ แต่ก็ยังสามารถผ่านการทดสอบที่ทำโดยกระดาษและปากกาหรือการทดสอบในแล็บที่เกี่ยวกับ EF ได้[36]

ทฤษฎีเกี่ยวกับระบบบริหารโดยมากมาจากสังเกตการณ์ในคนไข้ที่มีสมองกลีบหน้าเสียหายคือ คนไข้มีการกระทำและกลยุทธ์ในการทำกิจต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันที่ไม่มีระเบียบ(ซึ่งเป็นกลุ่มพฤติกรรมที่เรียกว่า dysexecutive syndrome)แม้ว่า คนไข้จะสามารถผ่านการทดสอบทางคลินิกหรือภายในแล็บที่ใช้ประเมินการทำงานทางประชานขั้นพื้นฐานเช่นความจำ การเรียนรู้ ภาษา และการคิดหาเหตุผลมีสมมติฐานที่แสดงว่า เพื่อที่จะอธิบายพฤติกรรมที่น่าแปลกใจเช่นนี้ จะต้องมีระบบประสาทครอบคลุมที่ประสานงานของกระบวนการทางประชานต่าง ๆ[37]

Stroop task

หลักฐานการทดลองมากมายเกี่ยวกับโครงสร้างทางประสาทที่เกี่ยวข้องกับ EF มาจากการทดสอบโดยใช้ stroop effect และ Wisconsin Card Sorting Task (WCST)โดย Stroop task ให้ผู้รับการทดลองบ่งสีของคำที่ระบายสีโดยที่สีและความหมายของคำอาจจะขัดแย้งกัน (เช่น คำว่า "แดง" ที่ระบายสีเป็นสีเขียว)ผู้รับการทดลองจะต้องใช้ EF ในการทำงานนี้เพราะว่า ต้องมีการยับยั้งพฤติกรรมที่ทำอย่างช่ำชองและอัติโนมัติ (เช่นการอ่านคำหนังสือ)เพื่อที่จะทำงานที่ไม่ค่อยได้ทำ ซึ่งก็คือบ่งสีของคำงานทดลองที่ใช้การสร้างภาพสมองโดยกิจ (functional neuroimaging) แสดงว่า มีสองส่วนในPFCซึ่งก็คือ anterior cingulate cortex (ACC) และ dorsolateral prefrontal cortex (DLPFC)ที่พิจารณาว่ามีความสำคัญเป็นพิเศษในการทำงานทดสอบนี้

ความไวต่อสิ่งแวดล้อมของ PFC

[แก้]

มีหลักฐานอื่น ๆ ที่แสดงความเกี่ยวข้องของPFC ใน EF จากการทดลองในลิงอันดับวานรเช่นในลิงมาคาก โดยใช้การวัดสรีรภาพทางไฟฟ้า (electrophysiology) ของเซลล์เดี่ยว ๆซึ่งแสดงว่า เมื่อเปรียบเทียบกับเซลล์ประสาทในด้านหลังของสมอง เซลล์ของ PFC เป็นจำนวนมากไวต่อการประกอบรวมกันของสิ่งเร้าและสถานการณ์สิ่งแวดล้อม (context)ยกตัวอย่างเช่น เซลล์ของ PFC อาจจะตอบสนองต่อตัวช่วยสีเขียวในกรณีที่ตัวช่วยบ่งว่า ควรจะขยับตาทั้งสองและศีรษะอย่างรวดเร็วไปทางซ้ายแต่ไม่ตอบสนองต่อตัวช่วยสีเขียวในสถานการณ์ทางการทดลองอื่น ๆเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะว่า การทำงานในระดับที่ดีสุดของ EF จะต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ตัวอย่างที่ให้โดยมิลเล่อร์และโคเฮ็นก็คือ ผู้ที่อยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาจะต้องเรียนรู้อย่างช่ำชองที่จะมองไปทางซ้ายก่อนที่จะข้ามถนนแต่ว่า เมื่อมีสถานการณ์เปลี่ยนไปที่แสดงว่า อยู่ในประเทศอังกฤษต้องมีการห้ามการตอบสนองเช่นนี้ คือต้องแทนที่พฤติกรรมด้วยการจับคู่สิ่งเร้า-การตอบสนองที่ต่างกันไป (คือให้มองไปทางขวาก่อนข้ามถนน)กลุ่มพฤติกรรมเหล่านี้ชัดเจนว่าต้องอาศัยระบบประสาทที่สามารถประสานสิ่งเร้า (คือถนนในกรณีนี้) กับสถานที่ (ประเทศสหรัฐ ประเทศอังกฤษ) เพื่อตอบสนองด้วยพฤติกรรม (มองซ้าย มองขวา)หลักฐานในปัจจุบันบอกเป็นนัยว่า เซลล์ประสาทใน PFC ดูเหมือนจะทำหน้าที่เป็นตัวแทนข้อมูลเช่นนี้อย่างชัดเจน[ต้องการอ้างอิง]

หลักฐานอื่น ๆ จากงานวิจัยสรีรภาพไฟฟ้าของเซลล์เดี่ยว ๆ ในลิงแสดง ventrolateral PFC ว่าเป็นตัวควบคุมการตอบสนองทางการเคลื่อนไหว (motor responses)ยกตัวอย่างเช่น เซลล์ที่เพิ่มอัตราการยิงสัญญาณเพราะสัญญาณภายนอกที่บอกว่า "อย่าไป"[38]และสัญญาณที่บอกว่า "อย่ามองที่นั่น"[39]ได้รับการระบุแล้ว

ความเอนเอียงเพราะความใส่ใจในระบบการรับรู้ต่าง ๆ

[แก้]

มีการใช้งานวิจัยโดยสรีรวิทยาไฟฟ้า (electrophysiology) และการสร้างภาพสมองโดยกิจ (functional neuroimaging) ในมนุษย์เพื่อระบุกลไกทางประสาทที่เป็นเหตุของความเอนเอียงโดยการใส่ใจ (attentional bias)โดยงานวิจัยโดยมากสืบหาการทำงานในระบบที่เกิดความเอนเอียง เช่น ในเปลือกสมองส่วนการเห็น (visual cortex) หรือเปลือกสมองส่วนการได้ยิน (auditory cortex)งานวิจัยยุคต้น ๆ ใช้ event-related potential (ตัวย่อ ERP หมายถึง การตอบสนองทางไฟฟ้าของสมองเพราะเหตุการณ์หนึ่ง ๆ) เพื่อที่จะแสดงว่าระดับการตอบสนองด้วยไฟฟ้าในสมองที่บันทึกในคอร์เทกซ์สายตาทั้งในซีกซ้ายและซีกขวาของสมองเกิดการเพิ่มระดับขึ้น ถ้าให้ผู้ร่วมการทดลองใส่ใจในด้านที่เหมาะสม (คือตรงข้ามกับซีกสมองที่ระดับการตอบสนองเพิ่มขึ้น)[40]

เทคนิคใหม่ ๆ ในการสร้างภาพสมองที่อาศัยการเดินโลหิต เช่นfMRI และการถ่ายภาพรังสีระนาบด้วยการปล่อยโพซิตรอน (PET)ได้ทำให้สามารถแสดงได้ว่าระดับการทำงานของประสาทในเขตประสาทสัมผัสต่าง ๆ รวมทั้งเขตรับรู้สีเขตการเคลื่อนไหว และเขตรับรู้ใบหน้าเกิดการเพิ่มระดับขึ้นเมื่อให้ผู้ร่วมการทดลองใส่ใจในลักษณะที่สมควรของสิ่งเร้านั้น ๆซึ่งบอกว่า มีการควบคุมการขยายสัญญาณ (gain control) ในเขตคอร์เทกซ์ใหม่ที่เกี่ยวกับประสาทสัมผัสยกตัวอย่างเช่น ในงานวิจัยในปี ค.ศ. 2003 ลิวและคณะ[41]แสดงขบวนของจุดที่เคลื่อนไหวไปทางซ้ายหรือทางขวา เป็นสีแดงหรือสีเขียว ให้ผู้ร่วมการทดลองดูและก่อนที่จะแสดงสิ่งเร้า จะมีตัวช่วยที่บอกว่า ผู้ร่วมการทดลองควรที่จะตอบสนองโดยอาศัยสีหรือทิศทางของจุดเหล่านั้นแม้ว่าสีและการเคลื่อนไหวจะมีอยู่ในขบวนจุดเหล่านั้นทั้งหมดการทำงานในเขตที่ไวสี (V4) ดังที่แสดงโดย fMRI ก็เกิดในระดับที่สูงขึ้นเมื่อให้ผู้ร่วมการทดลองใส่ใจที่สีและการทำงานในเขตที่ไวต่อการเคลื่อนไหว ก็เกิดในระดับที่สูงขึ้นเมื่อให้ผู้ร่วมการทดลองใส่ใจที่ทิศทางของการเคลื่อนไหวนอกจากนั้นแล้ว ยังมีงานวิจัยอีกหลายงานที่รายงานหลักฐานของสัญญาณแสดงความเอนเอียงที่เกิดขึ้นก่อนการแสดงสิ่งเร้าโดยแสดงว่า เขตต่าง ๆ ในสมองกลีบหน้ามักจะเกิดการทำงานก่อนที่จะแสดงสิ่งเร้าที่คาดหมาย[42]

การเชื่อมต่อกันของ PFC และเขตประสาทสัมผัส

[แก้]

แม้ว่า น้ำหนักของแบบจำลองว่า EF มีส่วนในการทำให้เกิดความเอนเอียงในประสาทสัมผัส จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆหลักฐานโดยตรงที่แสดงการเชื่อมต่อกันโดยกิจระหว่าง PFC และเขตประสาทสัมผัสต่าง ๆ เมื่อมีการทำงานของ EF ก็ยังมีน้อยอยู่ตราบเท่าทุกวันนี้[43]คือจริง ๆ แล้ว มีหลักฐานเดียวที่มาจากการศึกษาที่คนไข้มีความเสียหายในส่วนหนึ่งของสมองกลีบหน้าและเกิดผลในส่วนสมองที่ไกลจากรอยโรคที่สืบเนื่องกับการตอบสนองของเซลล์ประสาทรับความรู้สึก[44][45]แต่ว่า มีงานวิจัยน้อยงานที่ได้ตรวจสอบว่า ปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดในเฉพาะสถานการณ์ที่เกิดการทำงานของ EF หรือไม่ส่วนวิธีอื่น ๆ ที่วัดความเชื่อมต่อกันระหว่างเขตสมองที่อยู่ห่างกัน เช่นโดยสหสัมพันธ์ของการตอบสนองที่เห็นในfMRI ได้แสดงหลักฐานโดยอ้อมว่าสมองกลีบหน้าและเขตประสาทสัมผัส (เขตรับความรู้สึก) ต่าง ๆ มีการสื่อสารถึงกันและกันในกระบวนการต่าง ๆที่พิจารณาว่า ทำให้เกิดการทำงานของ EF เช่นความจำใช้งาน[46]ดังนั้น จึงยังต้องการงานวิจัยเพิ่มขึ้นอีกเพื่อที่จะระบุว่า มีการส่งข้อมูลกลับไปกลับมาอย่างไรระหว่าง PFC และส่วนอื่น ๆ ของสมองเมื่อ EF เกิดการทำงาน

มีงานวิจัยหนึ่งที่เริ่มมุ่งหน้าไปทางทิศทางนี้เป็นงานวิจัยโดยfMRI ที่ศึกษาสายการประมวลข้อมูลในระหว่างการคิดเหตุผลเกี่ยวกับพื้นที่เนื่องกับการเห็น เป็นงานที่ให้หลักฐานของความเป็นเหตุและผล(โดยอนุมานจากลำดับการเกิดของการทำงาน)ระหว่างการทำงานทางประสาทสัมผัสในสมองกลีบท้ายทอยและสมองกลีบข้าง กับการทำงานใน PFC ส่วนหลังและส่วนหน้า[47]งานวิจัยในแนวนี้สามารถทำให้ชัดเจนยิ่งขึ้นในเรื่องการประมวลข้อมูลเพื่อทำกิจเกี่ยวกับ EF ใน PFC และส่วนอื่น ๆ ของสมอง

การพูดได้สองภาษาและ EF

[แก้]

มีผลงานวิจัยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ที่แสดงว่า ผู้ที่พูดได้สองภาษามี EF ที่มีประสิทธิภาพที่ดีกว่า โดยเฉพาะในส่วนการยับยั้ง (inhibitory control) และการทำงานหลาย ๆ งานได้พร้อมกัน (task switching)[48][49]คำอธิบายที่อาจเป็นไปได้อย่างหนึ่งก็คือ ผู้พูดสองภาษาต้องควบคุมความใส่ใจและเลือกภาษาที่เหมาะสมในการพูด.ในทุกช่วงพัฒนาการ บุคคลที่พูดสองภาษาได้รวมทั้งทารก[50]เด็ก[49]และผู้ชรา[51]แสดงความได้เปรียบของผู้พูดได้สองภาษาในประเด็นการทำงานของ EFแต่น่าสนใจว่า ผู้พูดได้สองภาษาเป็นสองรูปแบบ คือพูดภาษาหนึ่งได้และรู้ภาษาใบ้กลับไม่ปรากฏความได้เปรียบเกี่ยวกับสมรรถภาพของ EF[52]นี้อาจเป็นเพราะไม่ต้องทำการยับยั้งภาษาหนึ่งอย่างแอ๊กถีฟเพื่อที่จะใช้อีกภาษาหนึ่งผู้พูดสองภาษาดูเหมือนจะได้เปรียบในการจัดการความขัดแย้ง (conflict processing) อีกด้วยซึ่งเกิดขึ้นเมื่อสามารถใช้รูปแบบหลายอย่างในการตอบสนองหนึ่ง ๆ(ยกตัวอย่างเช่น คำ ๆ หนึ่งในภาษาหนึ่งที่แปลได้หลายรูปแบบในอีกภาษาหนึ่ง)[53]โดยเฉพาะเจาะจงแล้ว lateral prefrontal cortex เป็นส่วนที่มีบทบาทในการจัดการความขัดแย้ง

อย่างไรก็ดี มีผู้ที่วิจารณ์ว่า ความแตกต่างของผู้พูดได้สองภาษาและภาษาเดียวอาจเกิดขึ้นจากองค์ประกอบอื่น ๆ ที่ไม่ได้ควบคุมในงานทดลองที่แสดงความแตกต่าง หรือว่าผู้ร่วมการทดลองมีความสามารถลักษณะที่ไม่ใกล้เคียงกัน งานวิจัยในปี ค.ศ. 2014 โดยใช้ Attentional Network Test ในเด็กพูดได้สองภาษา 180 คนพร้อมกับเด็กกลุ่มทดลองที่มีลักษณะความสามารถที่คล้ายคลึงกันพบว่า เด็กสองกลุ่มนี้ทำคะแนนในงานนั้นได้โดยไม่มีความต่างกันทางสถิติ[54]

แนวทางเพื่ออนาคต

[แก้]

มีหลักฐานสำคัญอื่น ๆ เกี่ยวกับกระบวนการทำงานของ EF ในPFCเช่นงานปริทัศน์ที่อ้างอิงกันอย่างกว้างขวางงานหนึ่ง[55] ขับเน้นบทบาทของ PFC ส่วนใน (medial) ในสถานการณ์ที่มักจะต้องใช้ EFยกตัวอย่างเช่น เมื่อสำคัญที่จะตรวจจับความผิดพลาด ระบุสถานการณ์ที่มีสิ่งเร้าที่ขัดแย้งกัน ทำการตัดสินใจภายใต้ความไม่แน่ใจ หรือว่าเมื่อรู้ว่ามีโอกาสน้อยลงที่จะได้ผลที่ต้องการในการกระทำบทความปริทัศน์นี้คล้ายกับบทความอื่น ๆ[56] ที่เน้นการทำงานร่วมกันระหว่าง PFC ส่วนใน (medial) และส่วนข้าง (lateral)ที่ส่วนในด้านหลัง (posterior medial) ส่งสัญญาณเกี่ยวกับความต้องการ EF ที่เพิ่มขึ้นโดยส่งไปยังเขตของส่วนข้างด้านบน (dorsolateral) ซึ่งเป็นที่เกิดสัญญาณการควบคุมการปฏิบัติการถึงอย่างนั้น ก็ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าทัศนคตินี้ถูกต้องและจริง ๆ แล้ว กลับมีบทความหนึ่งที่แสดงถึงคนไข้หลายคนที่มีความเสียหายต่อ PFC ด้านข้างที่มีระดับ ERN (Error-related negativity ซึ่งเป็นสัญญาณที่เชื่อกันว่าเกิดขึ้นจากการตรวจสอบความผิดพลาดของส่วนในด้านบน) ลดลง[57]ซึ่งบอกเป็นนัยว่า ส่วนที่ส่งสัญญาณควบคุมอาจจะกลับกันกับที่แสดงในทัศนคตินี้

ส่วนอีกทฤษฎีหนึ่งที่มีชื่อเสียง[58] เน้นการทำงานร่วมกันของส่วนต่าง ๆ ของสมองกลีบหน้าในแนวนอนโดยอ้างว่า มีการทำงานต่อเรียงกันระหว่าง PFC ส่วนหน้า, PFC ส่วนข้างด้านบน, และ premotor cortexที่ช่วยนำพฤติกรรมอาศัยสถานการณ์ที่มีในอดีต อาศัยสถานการณ์ในปัจจุบัน และอาศัยความสัมพันธ์ปัจจุบันของประสาทสัมผัสและการสั่งการ (sensorimotor associations) ไปตามลำดับคอร์เทกซ์ (ในแนวนอน)

ความก้าวหน้าในการสร้างภาพในสมอง (neuroimaging) ช่วยในการศึกษาความเกี่ยวข้องทางกรรมพันธุ์ของ EFโดยมีจุดมุ่งหมายที่จะใช้เทคนิคการสร้างภาพนี้เป็น endophenotype เพื่อสืบค้นเหตุทางพันธุกรรมของ EF[59]

เชิงอรรถและอ้างอิง

[แก้]
  1. "WHO Schedules for Clinical Assessment in Neuropsychiatry (Cognitive impairment)"(PDF). p. 212. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม(PDF)เมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ2557-06-18.{{cite web}}:ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate= (help)
  2. Usha Goswami. (2562). จิตวิทยาเด็ก: ความรู้ฉบับพกพา. แปลโดย สุภลัคน์ ลวดลาย และวรัญญู กองชัยมงคล. หน้า 167. กรุงเทพฯ: บุ๊คสเคป.ISBN 9786168221112.
  3. การประเมินทักษะด้านการคิดเชิงบริหาร (Executive Function) ในเด็กปฐมวัยhttps://thaichild21.com/2019/11/09/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3/[ลิงก์เสีย]
  4. Anderson, Vicki (2001)."Assessing executive functions in children: biological, psychological, and developmental considerations"(PDF).Pediatric Rehabilitation.4 (3): 119–136. สืบค้นเมื่อ 8 สิงหาคม 2557.{{cite journal}}:ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate= (help)
  5. Elliott R (2003) . Executive functions and their disorders. British Medical Bulletin. (65) ; 49–59
  6. Monsell S (2003). "Task switching".TRENDS in Cognitive Sciences.7 (3): 134–140.doi:10.1016/S1364-6613(03)00028-7.PMID 12639695.
  7. Chan, R. C. K., Shum, D., Toulopoulou, T. & Chen, E. Y. H., R; Shum, D; Toulopoulou, T; Chen, E (2008). "Assessment of executive functions: Review of instruments and identification of critical issues".Archives of Clinical Neuropsychology. 2.23 (2): 201–216.doi:10.1016/j.acn.2007.08.010.PMID 18096360.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  8. 8.08.18.28.38.48.58.68.7Alvarez, J. A. & Emory, E., Julie A.; Emory, Eugene (2006)."Executive function and the frontal lobes: A meta-analytic review".Neuropsychology Review.16 (1): 17–42.doi:10.1007/s11065-006-9002-x.PMID 16794878.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  9. 9.09.19.29.3Lezak, M. D., Howieson, D. B. & Loring, D. W. (2004).Neuropsychological Assessment (4th ed.). New York: Oxford University Press.ISBN 0-19-511121-4.{{cite book}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  10. Clark, L., Bechara, A., Damasio, H., Aitken, M. R. F., Sahakian, B. J. & Robbins, T. W., L.; Bechara, A.; Damasio, H.; Aitken, M. R. F.; Sahakian, B. J.; Robbins, T. W. (2008)."Differential effects of insular and ventromedial prefrontal cortex lesions on risky decision making".Brain.131 (5): 1311–1322.doi:10.1093/brain/awn066.PMC 2367692.PMID 18390562.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  11. Allman, J. M., Hakeem, A., Erwin, J.M., Nimchinsky E. & Hof, P., John M.; Hakeem, Atiya; Erwin, Joseph M.; Nimchinsky, Esther; Hof, Patrick (2001). "The anterior cingulate cortex: the evolution of an interface between emotion and cognition".Annals of the New York Academy of Sciences.935 (1): 107–117.doi:10.1111/j.1749-6632.2001.tb03476.x.PMID 11411161.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  12. Rolls, E. T. & Grabenhorst, F., Edmund T.; Grabenhorst, Fabian (2008). "The orbitofrontal cortex and beyond: From affect to decision-making".Progress in Neurobiology.86 (3): 216–244.doi:10.1016/j.pneurobio.2008.09.001.PMID 18824074.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  13. Norman DA, Shallice T (2000). "(1980) Attention to action: Willed and automatic control of behaviour". ใน Gazzaniga MS (บ.ก.).Cognitive neuroscience: a reader. Oxford: Blackwell.ISBN 0-631-21660-X.
  14. Russell A. Barkley, Kevin R. Murphy:Attention-Deficit Hyperactivity Disorder, Third Edition: A Clinical Workbook, Volym 2, (found on Google books)
  15. Cherkes-Julkowski, Miriam (2005).The DYSfunctionality of Executive Function. surviving education guides.ISBN 0-9765299-2-0.OCLC 77573143.
  16. Shiffrin, RM; Schneider, W (March 1977)."Controlled and automatic human information processing: II: Perceptual learning, automatic attending, and a general theory".Psychological Review.84 (2): 127–90.CiteSeerX 10.1.1.227.1856.doi:10.1037/0033-295X.84.2.127.
  17. Posner, MI; Snyder, CRR (1975)."Attention and cognitive control". ใน Solso, RL (บ.ก.).Information processing and cognition: the Loyola symposium. Hillsdale, NJ: L. Erlbaum Associates.ISBN 978-0-470-81230-3.
  18. Posner, MI; Petersen, SE (1990). "The attention system of the human brain".Annual Review of Neuroscience.13 (1): 25–42.doi:10.1146/annurev.ne.13.030190.000325.PMID 2183676.S2CID 2995749.
  19. Shallice, T (1988).From neuropsychology to mental structure. Cambridge, UK: Cambridge University Press.ISBN 978-0-521-31360-5.
  20. Baddeley AD (1986).Working memory. Oxford: Clarendon Press.ISBN 0-19-852133-2.
  21. 21.021.121.221.321.421.521.621.721.8De Luca, Cinzia R.; Leventer, Richard J. (2008)."Developmental trajectories of executive functions across the lifespan". ใน Anderson, Peter; Anderson, Vicki; Jacobs, Rani (บ.ก.).Executive functions and the frontal lobes: a lifespan perspective. Washington, DC: Taylor & Francis. pp. 24–47.ISBN 978-1-84169-490-0.OCLC 182857040.
  22. 22.022.122.222.322.4Anderson, PJ (2002). "Assessment and development of executive functioning (EF) in childhood".Child Neuropsychology.8 (2): 71–82.doi:10.1076/chin.8.2.71.8724.PMID 12638061.S2CID 26861754.
  23. Senn, TE; Espy, KA; Kaufmann, PM (2004)."Using path analysis to understand executive function organization in preschool children".Developmental Neuropsychology.26 (1): 445–464.doi:10.1207/s15326942dn2601_5.PMID 15276904.S2CID 35850139.
  24. 24.024.1Best, JR; Miller, PH; Jones, LL (2009)."Executive functions after age 5: Changes and correlates".Developmental Review.29 (3): 180–200.doi:10.1016/j.dr.2009.05.002.PMC 2792574.PMID 20161467.
  25. Espy, KA (2004)."Using developmental, cognitive, and neuroscience approaches to understand executive functions in preschool children".Developmental Neuropsychology.26 (1): 379–384.doi:10.1207/s15326942dn2601_1.PMID 15276900.S2CID 35321260.
  26. Brocki, KC; Bohlin, G (2004)."Executive functions in children aged 6 to 13: A dimensional and developmental study;".Developmental Neuropsychology.26 (2): 571–593.doi:10.1207/s15326942dn2602_3.PMID 15456685.S2CID 5979419.
  27. 27.027.127.2Anderson, VA; Anderson, P; Northam, E; Jacobs, R; Catroppa, C (2001)."Development of executive functions through late childhood and adolescence in an Australian sample".Developmental Neuropsychology.20 (1): 385–406.doi:10.1207/S15326942DN2001_5.PMID 11827095.S2CID 32454853.
  28. Klimkeit, EI; Mattingley, JB; Sheppard, DM; Farrow, M; Bradshaw, JL (2004). "Examining the development of attention and executive functions in children with a novel paradigm".Child Neuropsychology.10 (3): 201–211.doi:10.1080/09297040409609811.PMID 15590499.S2CID 216140710.
  29. 29.029.1De Luca, CR; Wood, SJ; Anderson, V; Buchanan, JA; Proffitt, T; Mahony, K; Pantelis, C (2003). "Normative data from the CANTAB I: Development of executive function over the lifespan".Journal of Clinical and Experimental Neuropsychology.25 (2): 242–254.doi:10.1076/jcen.25.2.242.13639.PMID 12754681.S2CID 36829328.
  30. 30.030.1Luciana, M; Nelson, CA (2002)."Assessment of neuropsychological function through use of the Cambridge Neuropsychological Testing Automated Battery: Performance in 4- to 12-year-old children".Developmental Neuropsychology.22 (3): 595–624.doi:10.1207/S15326942DN2203_3.PMID 12661972.S2CID 39133614.
  31. 31.031.1Luna, B; Garver, KE; Urban, TA;Lazar, NA; Sweeney, JA (2004). "Maturation of cognitive processes from late childhood to adulthood".Child Development.75 (5): 1357–1372.CiteSeerX 10.1.1.498.6633.doi:10.1111/j.1467-8624.2004.00745.x.PMID 15369519.
  32. Leon-Carrion, J; García-Orza, J; Pérez-Santamaría, FJ (2004). "Development of the inhibitory component of the executive functions in children and adolescents".International Journal of Neuroscience.114 (10): 1291–1311.doi:10.1080/00207450490476066.PMID 15370187.S2CID 45204519.
  33. spatial span เป็นแบบการประเมินสมรรถภาพความจำใช้งาน (working memory) ที่แสดงกล่องสีขาวที่กระจัดกระจายไปทั่วทั้งจอ โดยที่ผู้รับการทดสอบต้องแสดงกล่องที่เปลี่ยนสีไปตามลำดับ จำนวนกล่องที่ใช้ทดสอบเริ่มตั้งแต่ 2 ไปสุดที่ 9 จาก"Spatial Span (SSP)". สืบค้นเมื่อ 22 สิงหาคม 2557.{{cite web}}:ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate= (help)
  34. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-01-12. สืบค้นเมื่อ2014-08-06.
  35. Rabbitt PMA (1997). "Theory and methodology in executive function research".Methodology of frontal and executive function. East Sussex: Psychology Press.ISBN 0-86377-485-7.
  36. Saver, JL; Damasio, AR (1991)."Preserved access and processing of social knowledge in a patient with acquired sociopathy due to ventromedial frontal damage".Neuropsychologia.29 (12): 1241–9.doi:10.1016/0028-3932(91)90037-9.PMID 1791934.S2CID 23273038.
  37. Shimamura, AP (2000)."The role of the prefrontal cortex in dynamic filtering".Psychobiology.28 (2): 207–218.doi:10.3758/BF03331979.S2CID 140274181.
  38. Sakagami, M; Tsutsui, Ki; Lauwereyns, J; Koizumi, M; Kobayashi, S; Hikosaka, O (1 July 2001)."A code for behavioral inhibition on the basis of color, but not motion, in ventrolateral prefrontal cortex of macaque monkey".The Journal of Neuroscience.21 (13): 4801–8.doi:10.1523/JNEUROSCI.21-13-04801.2001.PMC 6762341.PMID 11425907.
  39. Hasegawa, RP; Peterson, BW; Goldberg, ME (August 2004)."Prefrontal neurons coding suppression of specific saccades".Neuron.43 (3): 415–25.doi:10.1016/j.neuron.2004.07.013.PMID 15294148.S2CID 1769456.
  40. Hillyard, SA; Anllo-Vento, L (February 1998)."Event-related brain potentials in the study of visual selective attention".Proceedings of the National Academy of Sciences.95 (3): 781–7.Bibcode:1998PNAS...95..781H.doi:10.1073/pnas.95.3.781.PMC 33798.PMID 9448241.
  41. Liu, T; Slotnick, SD; Serences, JT; Yantis, S (December 2003). "Cortical mechanisms of feature-based attentional control".Cerebral Cortex.13 (12): 1334–43.CiteSeerX 10.1.1.129.2978.doi:10.1093/cercor/bhg080.PMID 14615298.
  42. Kastner, S; Pinsk, MA; De Weerd, P; Desimone, R; Ungerleider, LG (April 1999)."Increased activity in human visual cortex during directed attention in the absence of visual stimulation".Neuron.22 (4): 751–61.doi:10.1016/S0896-6273(00)80734-5.PMID 10230795.
  43. Miller, BT; d'Esposito, M (November 2005)."Searching for "the top" in top-down control".Neuron.48 (4): 535–8.doi:10.1016/j.neuron.2005.11.002.PMID 16301170.S2CID 7481276.
  44. Barceló, F; Suwazono, S; Knight, RT (April 2000). "Prefrontal modulation of visual processing in humans".Nature Neuroscience.3 (4): 399–403.doi:10.1038/73975.PMID 10725931.S2CID 205096636.
  45. Fuster, JM; Bauer, RH; Jervey, JP (March 1985)."Functional interactions between inferotemporal and prefrontal cortex in a cognitive task".Brain Research.330 (2): 299–307.doi:10.1016/0006-8993(85)90689-4.PMID 3986545.S2CID 20675580.
  46. Gazzaley, A; Rissman, J; d'Esposito, M (December 2004)."Functional connectivity during working memory maintenance".Cognitive, Affective, & Behavioral Neuroscience.4 (4): 580–99.doi:10.3758/CABN.4.4.580.PMID 15849899.
  47. Shokri-Kojori, E; Motes, MA; Rypma, B; Krawczyk, DC (May 2012)."The network architecture of cortical processing in visuo-spatial reasoning".Scientific Reports.2 (411): 411.Bibcode:2012NatSR...2E.411S.doi:10.1038/srep00411.PMC 3355370.PMID 22624092.
  48. Bialystok E (2001).Bilingualism in development: Language, literacy, and cognition. New York: Cambridge University Press.
  49. 49.049.1Carlson SM, Meltzoff AM (2008)."Bilingual experience and executive functioning in young children".Developmental Science.11 (2): 282–298.doi:10.1111/j.1467-7687.2008.00675.x.PMC 3647884.PMID 18333982.
  50. Conboy BT, Summerville JA, Kuhl PK (2008)."Cognitive control factors in speech at 11 months".Developmental Psychology.44 (5): 1505–1512.doi:10.1037/a0012975.PMC 2562344.PMID 18793082.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)อ้างอิงBialystok, E (1999). "Cognition and language: Cognitive complexity and attentional control in the bilingual mind".Child Development.70: 636–644.
  51. Bialystok E, Craik FIM, Klein R, Viswanathan M (2004)."Bilingualism, aging, and cognitive control: Evidence from the Simon task".Psychology and Aging.19 (2): 290–303.doi:10.1037/0882-7974.19.2.290.PMID 15222822.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  52. Emmorey K, Luk G, Pyers JE, Bialystok E (2008). "The source of enhanced cognitive control in bilinguals".19: 1201–1206.{{cite journal}}:Cite journal ต้องการ|journal= (help)CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  53. Costa A, Hernandez M, and Sebastian-Galles, N (2008)."Bilingualism aids conflict resolution: Evidence from the ANT task".Cognition.106 (1): 59–86.doi:10.1016/j.cognition.2006.12.013.PMID 17275801.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  54. Antón1, Eneko; Duñabeitia, JA; Estévez, Adelina; Hernández, JA; Castillo, Alejandro; Fuentes, LJ; Davidson, DJ; Carreiras, Manuel."Is there a bilingual advantage in the ANT task ? Evidence from children"(PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม(PDF)เมื่อ 2014-06-29. สืบค้นเมื่อ 22 สิงหาคม 2557.{{cite web}}:ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate= (help)
  55. Ridderinkhof, KR; Ullsperger, M; Crone, EA; Nieuwenhuis, S (October 2004)."The role of the medial frontal cortex in cognitive control"(PDF).Science.306 (5695): 443–7.Bibcode:2004Sci...306..443R.doi:10.1126/science.1100301.hdl:1871/17182.PMID 15486290.S2CID 5692427.
  56. Botvinick, MM; Braver, TS; Barch, DM; Carter, CS; Cohen, JD (July 2001)."Conflict monitoring and cognitive control".Psychological Review.108 (3): 624–52.doi:10.1037/0033-295X.108.3.624.PMID 11488380.
  57. Gehring, WJ; Knight, RT (May 2000). "Prefrontal-cingulate interactions in action monitoring".Nature Neuroscience.3 (5): 516–20.doi:10.1038/74899.PMID 10769394.S2CID 11136447.
  58. Koechlin, E; Ody, C; Kouneiher, F (November 2003). "The architecture of cognitive control in the human prefrontal cortex".Science.302 (5648): 1181–5.Bibcode:2003Sci...302.1181K.CiteSeerX 10.1.1.71.8826.doi:10.1126/science.1088545.PMID 14615530.S2CID 18585619.
  59. Greene, CM; Braet, W; Johnson, KA; Bellgrove, MA (2007)."Imaging the genetics of executive function".Biological Psychology.79 (1): 30–42.doi:10.1016/j.biopsycho.2007.11.009.hdl:10197/6121.PMID 18178303.S2CID 32721582.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]
แหล่งข้อมูลห้องสมุดเกี่ยวกับ
Executive functions
เข้าถึงจาก "https://th.wikipedia.org/w/index.php?title=Executive_functions&oldid=12181133"
หมวดหมู่:
หมวดหมู่ที่ซ่อนอยู่:

[8]ページ先頭

©2009-2025 Movatter.jp