ไทม์ ปกฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2023 ซึ่งเน้นถึงการเติบโตของ
เอไอ บรรณาธิการบริหาร ซามูเอล เจคอบส์ หมวดหมู่ นิตยสารข่าว นิตยสารราย รายสัปดาห์ (1923–2020) รายปักษ์ (2020–ปัจจุบัน) ยอดพิมพ์รวม (2023) 1,044,989[ 1] ฉบับแรก 3 มีนาคม 1923; 102 ปีก่อน (1923-03-03 ) บริษัท ไทม์ (1923–1990; 2014–2018)ไทม์วอร์เนอร์ (1990–2014) เมอริดิทคอร์ปอเรชัน (2018) ไทม์ยูเอสเอจำกัด (มาร์ก และลินน์ เบนิออฟฟ์) (2018–ปัจจุบัน)ประเทศ สหรัฐ เมือง 1095 ถนนสายที่ 6,นครนิวยอร์ก , รัฐนิวยอร์ก, สหรัฐ ภาษา อังกฤษ เว็บไซต์ time .com ISSN 0040-781X OCLC 1311479
ไทม์ (อังกฤษ : Time ; รูปแบบอักษรที่ใช้ตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมดTIME ) เป็นนิตยสารข่าวของสหรัฐที่มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในนครนิวยอร์ก เดิมตีพิมพ์รายสัปดาห์ต่อเนื่องเกือบหนึ่งศตวรรษ และเริ่มเปลี่ยนรูปแบบการตีพิมพ์เป็นรายปักษ์ตั้งแต่เดือนมีนาคม ค.ศ. 2020[ 2] [ 3] ตีพิมพ์ฉบับแรกในนครนิวยอร์กเมื่อวันที่ 3 มีนาคม ค.ศ. 1923 และบริหารงานมาเป็นเวลาหลายปีโดยเฮนรี ลูส ผู้ร่วมก่อตั้งซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากต่อวงการสื่อมวลชน
ฉบับยุโรปของนิตยสารนี้ (ไทม์ยุโรป ซึ่งเดิมใช้ชื่อว่าไทม์แอตแลนติก ) มีสำนักงานอยู่ในกรุงลอนดอน โดยครอบคลุมพื้นที่ตะวันออกกลาง แอฟริกา และตั้งแต่ ค.ศ. 2003 เป็นต้นมา ได้ขยายการรายงานไปยังภูมิภาคลาตินอเมริกาด้วย ส่วนฉบับเอเชีย (ไทม์เอเชีย ) มีสำนักงานอยู่ที่เขตบริหารพิเศษฮ่องกง[ 4] และฉบับเอเชียแปซิฟิกตอนใต้ ซึ่งครอบคลุมออสเตรเลียนิวซีแลนด์ และหมู่เกาะแปซิฟิก มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่นครซิดนีย์
ตั้งแต่ ค.ศ. 2018 เป็นต้นมา นิตยสารไทม์ อยู่ภายใต้การเป็นเจ้าของของมาร์ก เบนีออฟฟ์ ผู้ก่อตั้งบริษัทเซลส์ฟอร์ซ ซึ่งได้ซื้อกิจการมาจากบริษัทเมอรีดิทคอร์ปอเรชัน ปัจจุบันเบนีออฟฟ์เป็นผู้จัดพิมพ์นิตยสารไทม์ ผ่านบริษัทไทม์ยูเอสเอจำกัด
หน้าปกนิตยสารไทม์ ประจำปี 1927 ซึ่งเป็นปีแรกของรางวัลบุรุษแห่งปี ได้ปรากฏภาพของชาลส์ ลินด์เบิร์ก ผู้ได้รับรางวัลคนแรก ลักษณะเด่นที่มีชื่อเสียงที่สุดของนิตยสารไทม์ ตลอดประวัติศาสตร์คือบทความปกประจำปีที่ชื่อว่า "บุคคลแห่งปี" (Person of the Year) ซึ่งเดิมใช้ชื่อว่า "บุรุษแห่งปี" (Man of the Year) โดยนิตยสารจะคัดเลือกบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีอิทธิพลต่อข่าวสารและเหตุการณ์สำคัญในรอบปีที่ผ่านมา มากที่สุดในรอบ 12 เดือน เกียรติยศนี้มอบให้แก่ผู้ที่ "ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลที่ดีหรือร้าย" มีผลกระทบต่อทิศทางของโลกในปีนั้นมากที่สุด ดังนั้น "บุคคลแห่งปี" จึงไม่จำเป็นต้องเป็นการให้เกียรติหรือรางวัลเสมอไป ในอดีต บุคคลอย่างอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ และโจเซฟ สตาลิน ก็เคยได้รับการคัดเลือกให้เป็นบุรุษแห่งปีมาแล้ว
ใน ค.ศ. 2006 นิตยสารไทม์ได้เลือก "คุณ " (You) เป็นบุคคลแห่งปี เพื่อสะท้อนถึงอิทธิพลของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลกที่สร้างและเผยแพร่เนื้อหาด้วยตนเอง การตัดสินใจครั้งนี้ได้รับเสียงตอบรับที่แตกต่างกันไป บางคนมองว่าเป็นแนวคิดที่สร้างสรรค์ ในขณะที่บางคนต้องการให้เลือก "บุคคลจริง" มากกว่า บรรณาธิการเพปเปอร์ และทิมเมอร์ ได้ให้ความเห็นไว้ว่า หากการตัดสินใจนั้นเป็นความผิดพลาด "เราก็จะทำมันเพียงครั้งเดียวเท่านั้น"[ 5]
ต่อมาใน ค.ศ. 2017 นิตยสารไทม์ได้มอบตำแหน่ง "บุคคลแห่งปี" ให้แก่กลุ่มซายเลนซ์เบรกเกอร์ส (The Silence Breakers) ซึ่งเป็นผู้ที่ออกมาเปิดเผยเรื่องราวส่วนตัวเกี่ยวกับการคุกคามทางเพศ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและขับเคลื่อนกระแสมีทู (#MeToo) ทั่วโลก[ 6]
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานิตยสารไทม์ ได้จัดทำรายชื่อประจำปีของ 100 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งปี โดยแนวคิดนี้มีจุดเริ่มต้นจากรายชื่อ 100 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งศตวรรษที่ 20 ที่เคยตีพิมพ์มาก่อนหน้านั้น นิตยสารฉบับพิเศษเหล่านี้มักจะมีหน้าปกที่รวมภาพของบุคคลจากรายชื่อทั้ง 100 คนไว้ และภายในเล่มจะอุทิศพื้นที่จำนวนมากเพื่อนำเสนอบทความ 100 บท ที่เขียนถึงแต่ละบุคคลโดยเฉพาะ บางครั้งรายชื่ออาจเกินกว่า 100 คน เช่น ในกรณีที่มีการเลือกบุคคลสองคนร่วมกันในตำแหน่งเดียว
นอกจากนี้ นิตยสารไทม์ยังได้จัดทำรายชื่อพิเศษอื่น ๆ เช่น "นิยายยอดเยี่ยมตลอดกาล 100 เรื่อง" และ "ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมตลอดกาล 100 เรื่อง" ใน ค.ศ. 2005[ 7] [ 8] [ 9] "รายการโทรทัศน์ยอดเยี่ยมตลอดกาล 100 รายการ" ใน ค.ศ. 2007[ 10] และ "ไอคอนแฟชั่นตลอดกาล 100 คน" ใน ค.ศ. 2012[ 11]
อย่างไรก็ตาม ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016 นิตยสารไทม์ ได้เกิดข้อผิดพลาดขึ้น เมื่อได้ใส่ชื่อของนักเขียนชายชาวอังกฤษ เอฟเวอลิน วอ ไว้ในรายชื่อ "100 นักเขียนหญิงที่มีผลงานถูกอ่านมากที่สุดในชั้นเรียนระดับมหาวิทยาลัย" โดยจัดอยู่ในอันดับที่ 97 ความผิดพลาดดังกล่าวได้รับความสนใจอย่างมากจากสื่อมวลชน และสร้างความกังวลเกี่ยวกับระดับความรู้พื้นฐานของทีมงานนิตยสาร[ 12] ภายหลัง นิตยสารได้ออกแถลงขอโทษและถอนรายชื่อนี้ออก[ 12] โดยในบทสัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์บีบีซี ศาสตราจารย์วาเลนไทน์ คันนิงแฮม จากวิทยาลัยคอร์ปัสคริสตี แห่งมหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ด ได้ให้ความเห็นถึงเหตุการณ์นี้ว่าเป็น "ความไม่รู้ขั้นร้ายแรงของนิตยสารไทม์ "[ 13]
หน้าปกเครื่องหมายกากบาท[ แก้ ] ตลอดประวัติศาสตร์การตีพิมพ์ของนิตยสารไทม์ มีอยู่ทั้งหมดเจ็ดครั้งที่นิตยสารได้ออกฉบับพิเศษซึ่งมีเครื่องหมายกากบาทสีแดง (หรือสีดำ) พาดทับบนใบหน้าของบุคคล เหตุการณ์ หรือสัญลักษณ์ของชาติ เพื่อสื่อถึงจุดสิ้นสุดหรือการล่มสลายของสิ่งนั้น ได้แก่
ครั้งแรก ออกเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 1945 โดยปรากฏเครื่องหมายกากบาทสีแดง พาดบนใบหน้าของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ตีพิมพ์ในสัปดาห์ถัดจากการเสียชีวิตของเขา
ครั้งที่สอง ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ. 1945 โดยใช้เครื่องหมายกากบาทสีดำ ซึ่งเป็นครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ที่นิตยสารไทม์ ใช้เครื่องหมายสีนี้ ปรากฏบนภาพธงชาติญี่ปุ่น เพื่อสื่อถึงการยอมจำนนของญี่ปุ่น และการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่สอง
ครั้งที่สาม ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 2003 โดยมีกากบาทสีแดงพาดบนใบหน้าของซัดดัม ฮุสเซน สองสัปดาห์หลังจากเริ่มการรุกรานอิรักโดยกองทัพสหรัฐ
ครั้งที่สี่ ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน ค.ศ. 2006 หลังจากอบู มูซับ อัล-ซาร์กอวี ผู้นำกลุ่มอัลกออิดะห์ในอิรักถูกสังหาร[ 14] [ 15] โดยมีเครื่องหมายกากบาทสีแดงบนใบหน้าของเขา
ครั้งที่ห้า ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม ค.ศ. 2011 หลังจากการเสียชีวิตของอุซามะฮ์ บิน ลาดิน [ 2] [ 16] หัวหน้ากลุ่มอัลกออิดะห์ ซึ่งรับผิดชอบเหตุวินาศกรรมเมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001
ครั้งที่หก ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 2020 โดยมี เครื่องหมายกากบาทสีแดงพาดบนตัวเลข2020 พร้อมข้อความประกาศว่า "The Worst Year Ever" (แปล: ปีที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่เคยมีมา) เพื่อสะท้อนความสูญเสียและความยากลำบากจากการระบาดทั่วของโควิด-19 [ 3] [ 4] [ 17]
ครั้งที่เจ็ด (ล่าสุด ณ ค.ศ. 2024) ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 2024 โดยมีกากบาทสีแดงพาดบนใบหน้าของยะฮ์ยา ซินวาร ผู้นำกลุ่มฮะมาส ภายหลังจากที่เขาถูกสังหาร โดยกองกำลังป้องกันอิสราเอล [ 18]