Movatterモバイル変換


[0]ホーム

URL:


ข้ามไปเนื้อหา
วิกิพีเดียสารานุกรมเสรี
ค้นหา

พล พต

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ผู้นำคอมมิวนิสต์กัมพูชา (พ.ศ. 2468–2541)
พล พต
ប៉ុល ពត
พล พต เมื่อ พ.ศ. 2521
เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา
ดำรงตำแหน่ง
22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2506 6 ธันวาคม พ.ศ. 2524
รองนวน เจีย
ก่อนหน้าตู สามุต (พ.ศ. 2505)
ถัดไปยกเลิกตำแหน่ง (ยุบพรรค)
ผู้นำกัมพูชา
โดยพฤตินัย
17 เมษายน พ.ศ. 2518 7 มกราคม พ.ศ. 2522
ประธานาธิบดีพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ
เขียว สัมพัน
นายกรัฐมนตรีแปน นุต
ตนเอง
ก่อนหน้าสัก สุตสคาน
ถัดไปแปน โสวัณ[a]
เฮง สัมริน[b]
นายกรัฐมนตรีกัมพูชาประชาธิปไตย
ดำรงตำแหน่ง
25 ตุลาคม พ.ศ. 2519 7 มกราคม พ.ศ. 2522
ประธานาธิบดีเขียว สัมพัน
รอง
ก่อนหน้านวน เจีย (รักษาการ)
ถัดไปแปน โสวัณ (พ.ศ. 2524)
ดำรงตำแหน่ง
14 เมษายน พ.ศ. 2519 27 กันยายน พ.ศ. 2519
ประธานาธิบดีเขียว สัมพัน
รอง
ก่อนหน้าเขียว สัมพัน (รักษาการ)
ถัดไปนวน เจีย (รักษาการ)
ผู้บัญชาการทหารสูงสุดกองทัพปฏิวัติกัมพูชา
ดำรงตำแหน่ง
พ.ศ. 2520 พ.ศ. 2522
เลขาธิการพรรคกัมพูชาประชาธิปไตย
ดำรงตำแหน่ง
พ.ศ. 2524 พ.ศ. 2528
ก่อนหน้าตนเอง
(ในตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา)
ถัดไปเขียว สัมพัน
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด
สาฬต สอ

25 พฤษภาคม พ.ศ. 2468
แพรกสเบาจังหวัดกำปงธม กัมพูชาในอารักขาของฝรั่งเศส
เสียชีวิต15 เมษายน พ.ศ. 2541 (72 ปี)
บ้านจอมจังหวัดอุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา
พรรคการเมือง
การเข้าร่วม
พรรคการเมืองอื่น
พรรคคอมมิวนิสต์ฝรั่งเศส (ทศวรรษ 1950)
คู่สมรส
บุตรสอ พัตชาตา[1]
การศึกษาโรงเรียนวิทยุฝรั่งเศส (ไม่มีปริญญา)
ลายมือชื่อ
ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง
รับใช้
สังกัดกองทัพปฏิวัติกัมพูชา
ประจำการพ.ศ. 2506–2540
ยศพลเอก
ผ่านศึก
บทความนี้มีอักษรพิเศษ หากอุปกรณ์ของคุณไม่สามารถเรนเดอร์อักษรนี้ได้ คุณอาจเห็นเครื่องหมายคำถาม, อักษรพิเศษ, กล่อง หรือสัญลักษณ์อื่น ๆ

พล พต[c][d] (ชื่อเกิดสาฬต สอ;[e] 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2468 – 15 เมษายน พ.ศ. 2541) เป็นนักการเมือง นักปฏิวัติ และผู้นำเผด็จการชาวกัมพูชา เขาปกครองรัฐคอมมิวนิสต์กัมพูชาประชาธิปไตยตั้งแต่ พ.ศ. 2518 จนกระทั่งการโค่นล้มอำนาจใน พ.ศ. 2522 ตลอดช่วงเวลาที่เขาปกครอง รัฐบาลพล พต ได้ก่อให้เกิดความโหดร้ายทารุณครั้งใหญ่ และเขามักถูกมองว่าเป็นหนึ่งในผู้นำเผด็จการที่โหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์โลกสมัยใหม่ ในด้านอุดมการณ์ เขายึดแนวทางลัทธิเหมาและชาตินิยมเชิงชาติพันธุ์เขมร พล พต เป็นผู้นำของขบวนการคอมมิวนิสต์กัมพูชา หรือที่รู้จักกันในชื่อ "เขมรแดง" ตั้งแต่ พ.ศ. 2506 ถึง พ.ศ. 2540 เขาดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาตั้งแต่ พ.ศ. 2506 ถึง พ.ศ. 2524 ซึ่งในช่วงดังกล่าว กัมพูชาได้รับการปรับเปลี่ยนให้เป็นรัฐพรรคการเมืองเดียว โดยในระหว่าง พ.ศ. 2518 ถึง พ.ศ. 2522 เขมรแดงได้ก่อการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุชาวกัมพูชาจำนวนมาก ซึ่งมีผู้เสียชีวิตราว 1.5–2 ล้านคน หรือประมาณหนึ่งในสี่ของประชากร ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2521เวียดนามได้ส่งกองทัพเข้ารุกรานกัมพูชาเพื่อโค่นล้มอำนาจเขมรแดง ภายในเวลาเพียงสองสัปดาห์ กองทัพเวียดนามสามารถยึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศได้ ทำให้การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์สิ้นสุดลง และได้มีการจัดตั้งรัฐบาลกัมพูชาใหม่ขึ้น โดยอำนาจของเขมรแดงมีอยู่อย่างจำกัดในพื้นที่ชนบทห่างไกลทางตะวันตกของประเทศ

พล พต เกิดในครอบครัวชาวนาฐานะมั่งคั่งที่เมืองแพรกสเบา ในอาณานิคมกัมพูชาของฝรั่งเศส เขาได้รับการศึกษาในโรงเรียนชั้นนำของกัมพูชา และในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2492 จึงได้รับทุนการศึกษาต่อไปที่ปารีส ต่อมาใน พ.ศ. 2494 เขาเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์ฝรั่งเศส ขณะกำลังศึกษาอยู่ที่โรงเรียนวิทยุฝรั่งเศส หลังจากกลับกัมพูชาใน พ.ศ. 2496 เขาเข้าร่วมกับองค์กรเขมรเหวียตมิญ และเข้าร่วมสงครามกองโจรต่อสู้กับรัฐบาลใหม่ของพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ภายหลังจากการล่าถอยของเขมรเหวียตมิญเข้าสู่เวียดนามเหนือใน พ.ศ. 2497 พล พต จึงกลับมากรุงพนมเปญ ทำงานเป็นครู แต่ยังคงมีบทบาทสำคัญในขบวนการลัทธิมากซ์–เลนินของกัมพูชา จากนั้นใน พ.ศ. 2502 เขามีส่วนในการจัดตั้งขบวนการนี้อย่างเป็นทางการในนามพรรคแรงงานกัมพูชา ก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อเป็นพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา ต่อมาใน พ.ศ. 2505 เขาย้ายไปตั้งฐานในป่าเพื่อหลีกเลี่ยงการปราบปรามจากรัฐ และใน พ.ศ. 2506 เขาก้าวขึ้นเป็นผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา ใน พ.ศ. 2511 เขาเปิดฉากทำสงครามกับรัฐบาลสมเด็จพระนโรดม สีหนุ อีกครั้ง แต่หลังจากลอน นอล ทำรัฐประหารโค่นล้มสมเด็จพระนโรดม สีหนุ เมื่อ พ.ศ. 2513 กองกำลังของพล พต จึงเข้าร่วมกับฝ่ายหลังที่ถูกโค่นล้มอำนาจ ต่อสู้กับรัฐบาลใหม่ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกองทัพสหรัฐอเมริกา โดยได้รับความช่วยเหลือจากเหวียตก่งและกองทัพเวียดนามเหนือ จนกระทั่งใน พ.ศ. 2518 เขมรแดงสามารถยึดครองกัมพูชาได้ทั้งหมด

เมื่อขึ้นสู่อำนาจ พล พต เปลี่ยนกัมพูชาให้เป็นรัฐพรรคการเมืองเดียวภายใต้ชื่อ "กัมพูชาประชาธิปไตย" โดยมีเป้าหมายสร้างสังคมเกษตรกรรมแบบสังคมนิยม ซึ่งเขาเชื่อว่าจะพัฒนาไปสู่สังคมคอมมิวนิสต์ในที่สุด เขาใช้แนวคิด "ปีที่ศูนย์" ซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2518 โดยมีเป้าหมายล้างผลาญวัฒนธรรมและประเพณีทั้งหมด เพื่อสร้างวัฒนธรรมปฏิวัติขึ้นใหม่ตั้งแต่ต้น เขมรแดงสั่งอพยพผู้คนออกจากเมือง บังคับประชาชนไปยังค่ายแรงงานและนารวม ที่ซึ่งเกิดการประหารหมู่ การทารุณ การทรมาน ภาวะทุพโภชนาการ และโรคระบาดอย่างร้ายแรง โดยที่ทุ่งสังหาร มีผู้ถูกประหารและฝังรวมในหลุมศพหมู่มากกว่า 1.3 ล้านคน ภายใต้นโยบายเสมอภาคสุดโต่ง มีการยกเลิกเงิน ศาสนา และทรัพย์สินส่วนบุคคล ประชาชนถูกบังคับให้สวมเสื้อผ้าสีดำเหมือนกันทั้งหมด การกวาดล้างซ้ำแล้วซ้ำเล่าในพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาทำให้เกิดความไม่พอใจเพิ่มขึ้น และใน พ.ศ. 2521 ทหารกัมพูชาบางส่วนได้เริ่มก่อกบฏในภาคตะวันออก

หลังจากหลายปีที่เขมรแดงรุกรานและสังหารประชาชนในดินแดนเวียดนาม เวียดนามจึงส่งกองทัพบุกกัมพูชาในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2521 และในเดือนมกราคม พ.ศ. 2522 พล พต และเขมรแดงก็ถูกโค่นล้ม สมาชิกที่เหลือถอยร่นไปยังป่าตามแนวชายแดนไทย และยังคงดำเนินการต่อสู้อยู่ต่อไป แต่ก็ถูกกองทัพเวียดนามตามล่าอย่างหนัก จนกระทั่งเวียดนามถอนทัพใน พ.ศ. 2532 เมื่อสุขภาพทรุดโทรม พล พต จึงลดบทบาทของตน และใน พ.ศ. 2541ตา ม็อก ผู้บัญชาการเขมรแดง ได้สั่งกักบริเวณเขาไว้ที่บ้าน และไม่นานหลังจากนั้น พล พต ก็เสียชีวิต

ในช่วงที่เขามีอำนาจ ซึ่งตรงกับยุครุ่งเรืองของขบวนการคอมมิวนิสต์ทั่วโลก พล พต เป็นบุคคลที่สร้างความแตกแยกต่อขบวนการคอมมิวนิสต์สากล หลายฝ่ายมองว่าเขาเบี่ยงเบนไปจากแนวทางลัทธิมากซ์–เลนินแบบดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม จีนยังคงสนับสนุนรัฐบาลของเขาในฐานะเครื่องกีดขวางอิทธิพลของสหภาพโซเวียตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พล พต ถูกมองว่าเป็นผู้นำเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จที่ต้องรับผิดชอบต่อการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ และถูกประณามอย่างกว้างขวางในระดับนานาชาติจากบทบาทของเขาในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวกัมพูชา

ชีวิตช่วงต้น

[แก้]

วัยเด็ก: พ.ศ. 2468–2484

[แก้]

พล พต เกิดที่หมู่บ้านแพรกสเบา ชานเมืองกำปงธม[2] เขามีชื่อเดิมว่า สาฬต สอ โดยคำว่า "สอ" (แปลว่า ขาวหรือซีด) มาจากสีผิวของเขาที่ค่อนข้างขาวกว่าคนทั่วไป[3] ตามบันทึกสมัยอาณานิคมฝรั่งเศส ระบุวันเกิดของเขาเป็นวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2471[4] แต่ฟิลิป ชอร์ต นักเขียนชีวประวัติ แย้งว่าแท้จริงแล้วเขาเกิดในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2468[5]

แพรกสเบา หมู่บ้านที่พล พต เกิดและใช้ชีวิตวัยเยาว์

ครอบครัวของเขามีเชื้อสายผสมระหว่างจีนกับเขมร แต่ก็ไม่ได้ใช้ภาษาจีนและดำรงชีวิตในแบบเขมรเต็มตัว[3] บิดาของเขามีนามว่า ฬต ต่อมารู้จักกันในชื่อ สาฬต เพ็ม เป็นชาวนาผู้มั่งคั่ง มีที่นาประมาณ9 เฮกตาร์ (22 เอเคอร์) และมีโคกระบือใช้งานจำนวนมาก[6] บ้านของฬตเป็นหนึ่งในบ้านหลังใหญ่ที่สุดในหมู่บ้าน และในฤดูดำนาและเก็บเกี่ยวก็มักจะจ้างเพื่อนบ้านที่ยากจนกว่ามาช่วยทำงาน[5] มารดาของสอชื่อ ซก เนม เป็นผู้ได้รับการนับถือในท้องถิ่นว่าเป็นพุทธศาสนิกชนที่เคร่งครัด[7] สอเป็นบุตรคนที่ 8 จากทั้งหมด 9 คน (ผู้หญิง 2 คน และผู้ชาย 7 คน)[7] แต่มีพี่น้องเสียชีวิตตั้งแต่เยาว์ 3 คน[8] เขาและครอบครัวนับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท และมักเดินทางไปยังวัดกำปงธมในช่วงวันสำคัญทางศาสนา[9] แม้ครอบครัวจะมีฐานะค่อนข้างดี แต่พล พต เคยให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ยูโกสลาเวียใน พ.ศ. 2520 ว่าเขาเกิดใน "ครอบครัวชาวนาและยากจน"[10]

ในเวลานั้นกัมพูชายังปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ แต่การเมืองอยู่ภายใต้อำนาจควบคุมของระบอบอาณานิคมฝรั่งเศส[11] ครอบครัวของเขายังมีสายสัมพันธ์กับราชสำนักกัมพูชา โดยลูกพี่ลูกน้องชื่อว่า เมียก เป็นนางสนมของพระบาทสมเด็จพระสีสุวัตถิ์ มุนีวงศ์ และต่อมาเป็นครูสอนบัลเลต์[12] เมื่อสออายุได้ 6 ขวบ เขากับพี่ชายคนหนึ่งถูกส่งไปอยู่กับเมียกที่กรุงพนมเปญ ซึ่งการรับเลี้ยงโดยญาติที่มีฐานะดีกว่าถือเป็นเรื่องปกติในกัมพูชาสมัยนั้น[7] ที่พนมเปญ เขาบวชเป็นสามเณรที่วัดโบตุมวัตดี (Vat Botum Vaddei) เป็นเวลา 18 เดือน ศึกษาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา และเรียนอ่านเขียนภาษาเขมร[13]

ต่อมาในฤดูร้อน พ.ศ. 2478 เขาย้ายไปอยู่กับฬต ซวง ผู้เป็นพี่ชาย พร้อมภรรยาและบุตรของซวง[14] ในปีเดียวกันนั้น เขาเริ่มเข้าเรียนในโรงเรียนประถมศึกษาโรมันคาทอลิกมิช (École Miche)[15] โดยมีเมียกเป็นผู้จ่ายค่าเล่าเรียน[16] นักเรียนส่วนใหญ่เป็นลูกหลานข้าราชการฝรั่งเศสและชาวเวียดนามคาทอลิก[16] เขาจึงได้เรียนภาษาฝรั่งเศสและคุ้นเคยกับศาสนาคริสต์[16] อย่างไรก็ตาม สอไม่ได้มีพรสวรรค์ทางวิชาการนัก ทำให้ต้องเรียนซ้ำชั้นถึงสองปี กว่าจะได้รับวุฒิการศึกษาระดับประถมศึกษาเสริม (Certificat d'Études Primaires Complémentaires) ใน พ.ศ. 2486 ขณะมีอายุถึง 18 ปี[17] เขายังคงไปเยี่ยมเยียนเมียกที่พระราชวังอยู่เสมอ และที่นั่นเองทำให้เขามีประสบการณ์ทางเพศครั้งแรกกับนางสนมบางคนของกษัตริย์[18]

การศึกษาช่วงหลัง: พ.ศ. 2485–2491

[แก้]

ระหว่างที่สอเรียนอยู่ที่โรงเรียน สมเด็จพระสีสุวัตถิ์ มุนีวงศ์ ได้สิ้นพระชนม์ และใน พ.ศ. 2484 ทางการฝรั่งเศสแต่งตั้งพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ขึ้นเป็นกษัตริย์พระองค์ใหม่[19] โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นแห่งใหม่ชื่อ วิทยาลัยเปรียมสีหนุ (Collége Pream Sihanouk) ได้รับการจัดตั้งขึ้นที่จังหวัดกำปงจาม และใน พ.ศ. 2485 สอได้รับคัดเลือกให้เข้าเรียนประจำที่นั่น[20] ระดับการศึกษานี้ถือว่าเป็นสิทธิพิเศษที่ทำให้เขาอยู่ในสถานะสูงกว่าคนทั่วไปในสังคมกัมพูชา[21] เขาได้เรียนการเล่นไวโอลิน และมีส่วนร่วมในการแสดงละครเวทีของโรงเรียน[22] นอกจากนี้ ยังใช้เวลาว่างไปกับการเล่นฟุตบอลและบาสเกตบอล[23] เพื่อนนักเรียนหลายคนในเวลานั้น เช่นฮู นิม และเขียว สัมพัน ต่อมาก็ได้เข้าร่วมรัฐบาลของเขา[24] ในช่วงวันหยุดปีใหม่ พ.ศ. 2488 ซาและเพื่อน ๆ จากคณะละครเวทีของโรงเรียนได้จัดการแสดงทัวร์ไปตามจังหวัดต่าง ๆ โดยใช้รถบัสเพื่อหารายได้สำหรับการเดินทางไปยังนครวัด[25] เขาออกจากโรงเรียนใน พ.ศ. 2490[26]

ปีเดียวกันนั้น เขาสอบผ่านและได้เข้าเรียนต่อที่วิทยาลัยสีสุวัตถิ์ (Lycée Sisowath) ขณะอาศัยอยู่กับซวงและภรรยาใหม่ของเขา[27] ในฤดูร้อน พ.ศ. 2491 เขาได้สอบเข้าเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายของวิทยาลัย แต่สอบไม่ผ่าน ทำให้ไม่สามารถเรียนต่อจนจบมัธยมศึกษาตอนปลายได้เหมือนกับเพื่อนคนอื่น[28] ดังนั้น เขาจึงไปสมัครเรียนช่างไม้ที่โรงเรียนเทคนิคในเขตรึฮ์เซ็ยแกว บริเวณชานกรุงพนมเปญทางตอนเหนือ[29] การเปลี่ยนจากสายวิชาการไปสู่การเรียนสายอาชีพเช่นนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่กระทบจิตใจเขาไม่น้อย[30] นักเรียนส่วนใหญ่ในโรงเรียนเทคนิคนี้มาจากครอบครัวชนชั้นกลางระดับล่าง แม้จะไม่ใช่ชาวนาก็ตาม[21] โดยที่โรงเรียนนี้เอง เขาได้รู้จักกับเอียง ซารี ผู้ที่จะกลายมาเป็นเพื่อนสนิทและต่อมาเป็นหนึ่งในสมาชิกรัฐบาลของเขา[21] ในฤดูร้อน พ.ศ. 2492 สอสอบผ่านวุฒิมัธยมศึกษาตอนต้น และได้รับทุนการศึกษาที่มีเพียง 5 ทุน ซึ่งเปิดโอกาสให้เขาได้เดินทางไปฝรั่งเศสเพื่อศึกษาต่อด้านวิศวกรรม[31]

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองนาซีเยอรมนีได้รุกรานฝรั่งเศส และใน พ.ศ. 2484 ญี่ปุ่นก็ได้ขับไล่ฝรั่งเศสออกจากกัมพูชา โดยสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ทรงประกาศเอกราชของประเทศ[32] อย่างไรก็ตาม หลังสงครามสิ้นสุดใน พ.ศ. 2489 ฝรั่งเศสกลับเข้ามาควบคุมกัมพูชาอีกครั้ง[33] แต่ยอมให้มีรัฐธรรมนูญใหม่และการก่อตั้งพรรคการเมืองหลายพรรค[34] โดยพรรคที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด คือกรมประชาธิปไตย ซึ่งชนะการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2489[35] นักประวัติศาสตร์ เดวิด แชนด์เลอร์ กล่าวว่าสอและซารี มีส่วนช่วยในการรณรงค์เลือกตั้งของพรรค[36] แต่ฟิลิป ชอร์ต ให้ความเห็นตรงกันข้ามว่า สอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับพรรคดังกล่าว[30] ในเวลานั้น สมเด็จพระนโรดม สีหนุ ทรงมิเห็นด้วยกับการปฏิรูปเอียงฝ่ายซ้ายของพรรค และใน พ.ศ. 2491 ได้ทรงยุบรัฐสภา แล้วปกครองด้วยพระราชกฤษฎีกา[37] ขณะเดียวกันเหวียตมิญก็พยายามก่อตั้งขบวนการคอมมิวนิสต์ในกัมพูชา แต่ติดปัญหาความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ระหว่างชาวเขมรกับชาวเวียดนาม ข่าวสารเกี่ยวกับกลุ่มดังกล่าวถูกปิดกั้นจากสื่อ ทำให้สอไม่น่าจะรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวนี้เลย[38]

ปารีส: พ.ศ. 2492–2496

[แก้]
สอเดินทางถึงปารีสเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2492 ส่วนภาพนี้ คือ บรรยากาศของกรุงปารีสใน พ.ศ. 2493

การได้ไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ ทำให้สอเป็นหนึ่งในชนชั้นนำจำนวนน้อยในกัมพูชา[39] เขาและนักเรียนที่ได้รับคัดเลือกอีก 21 คนออกเดินทางจากไซ่ง่อนโดยเรือแอ็สแอ็ส ฌามิก (SSJamaïque) โดยแวะหยุดที่สิงคโปร์โคลัมโบ และจิบูตี ระหว่างทางไปยังมาร์แซย์[40] สอเดินทางถึงปารีสเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2492 และในเดือนมกราคม พ.ศ. 2493 ได้สมัครเรียนที่โรงเรียนวิทยุฝรั่งเศส (École française de radioélectricité) เพื่อศึกษาวิชาอิเล็กทรอนิกส์ด้านวิทยุ[41] เขาเช่าห้องพักที่ศาลาอินโดจีนของซีเตอูนีแวร์ซีแตร์ (Cité Universitaire)[42] ก่อนที่จะย้ายไปอยู่ที่ถนนอ็องอียอ (rue Amyot)[41] และท้ายที่สุดก็พักที่ห้องเช่าเล็ก ๆ บริเวณมุมถนนโกแมร์ส (rue de Commerce) และถนนเลอแตลีเย (rue Letellier)[43] ในปีแรก สอทำผลการเรียนได้ดี แม้ว่าในตอนแรกจะสอบปลายภาคการศึกษาไม่ผ่าน แต่ก็ได้รับอนุญาตให้สอบซ่อมและสอบผ่านอย่างหวุดหวิด ทำให้สามารถเรียนต่อไปได้[44]

สอใช้เวลาอยู่ที่ปารีสเป็นเวลา 3 ปี[42] ในฤดูร้อน พ.ศ. 2493 เขาเดินทางร่วมกับนักเรียนฝรั่งเศสไปยังสหพันธ์สาธารณรัฐประชาชนยูโกสลาเวีย พร้อมนักเรียนกัมพูชาอีก 17 คน เพื่ออาสาทำงานในกองพลแรงงานสร้างทางหลวงที่ซาเกร็บ[45] ในปีถัดมา เขากลับมาที่ยูโกสลาเวียอีกครั้งเพื่อตั้งแคมป์ในช่วงวันหยุด[43] สอแทบจะไม่พยายามปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมฝรั่งเศส[46] และไม่เคยใช้ภาษาฝรั่งเศสได้อย่างคล่องแคล่วเลย[41] อย่างไรก็ตาม เขาได้สัมผัสกับวรรณกรรมฝรั่งเศส โดยหนึ่งในนักเขียนที่เขาชื่นชอบมากที่สุด คือฌ็อง-ฌัก รูโซ[47] เพื่อนคนสำคัญที่สุดของเขาขณะอยู่ฝรั่งเศส ได้แก่ เอียง ซารี (ผู้ที่ตามมาเรียนต่อที่นั่น), ทวน มุม, และเกง วันสัก[48] เขายังเข้าร่วมวงอภิปรายของวันสัก ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกที่มีแนวคิดทางอุดมการณ์หลากหลายและถกเถียงกันถึงวิธีการทำให้กัมพูชาได้รับเอกราช[49]

ที่ปารีส เอียง ซารี และเพื่อนอีกสองคน ได้ก่อตั้งกลุ่มแซกล์มาร์กซิสต์ ("กลุ่มลัทธิมากซ์") ซึ่งเป็นองค์กรลับที่จัดรูปแบบเป็นกลุ่มย่อย โดยแต่ละกลุ่มจะทราบข้อมูลเกี่ยวกับอีกกลุ่มหนึ่งเพียงเล็กน้อย[50] กลุ่มย่อยเหล่านี้จะพบกันเพื่ออ่านตำราลัทธิมากซ์และจัดการประชุมวิจารณ์ตนเองตามแบบลัทธิมากซ์[51] สอเข้าร่วมกลุ่มย่อยหนึ่งที่พบกันที่ถนนลาแซเปด (rue Lacepède) โดยมีเพื่อนร่วมกลุ่ม เช่นฮู ยวน, เสียน อารี, และซก คโนล[50] เขามีส่วนช่วยทำสำเนาหนังสือพิมพ์ของกลุ่มที่มีชื่อว่า "เรียกสมี" (Reaksmei; แปลว่า ประกายไฟ) ซึ่งตั้งชื่อตามหนังสือพิมพ์รัสเซียเก่า[52] ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2494 ยวนได้รับเลือกเป็นประธานสมาคมนักศึกษาชาวเขมร (AEK;l'Association des Etudiants Khmers) และสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับฝ่ายซ้ายของสหภาพนักศึกษาฝรั่งเศส (Union Nationale des Étudiants de France)[53] กลุ่มแซกล์มาร์กซิสต์ได้แทรกแซงและชักจูงสมาคมนักศึกษาชาวเขมรและองค์กรสืบทอดต่อมาเป็นเวลา 19 ปี[50] หลายเดือนต่อมาหลังจากการก่อตั้ง สอและซารีก็ได้เข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์ฝรั่งเศส[54] สอเข้าร่วมการประชุมพรรค รวมถึงกลุ่มนักศึกษากัมพูชา และอ่านนิตยสารเลกาอีเยแอ็งแตร์นาซียงโน (Les Cahiers Internationaux) ของพรรค[55] สำหรับคนหนุ่มสาวทั้งในฝรั่งเศสและกัมพูชาในเวลานั้น ลัทธิคอมมิวนิสต์ดูเหมือนจะเป็นอนาคต ขณะเดียวกันพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ชนะสงครามกลางเมือง และพรรคคอมมิวนิสต์ฝรั่งเศสก็เป็นหนึ่งในพรรคที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ[56] โดยได้รับคะแนนเสียงประมาณร้อยละ 25 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในฝรั่งเศส[57]

ที่ปารีส พล พต ได้รับแรงบันดาลใจจากงานเขียนของเหมา เจ๋อตง และโจเซฟ สตาลิน (ถ่ายด้วยกันเมื่อ พ.ศ. 2492) เกี่ยวกับวิธีการปฏิวัติ

สอพบว่าตำราที่เข้มข้นของคาร์ล มาคส์ หลายเล่มอ่านเข้าใจยาก เขาเคยกล่าวในภายหลังว่า "ไม่ได้เข้าใจจริง ๆ"[55] แต่เขากลับคุ้นเคยกับงานเขียนของโจเซฟ สตาลิน ผู้นำสหภาพโซเวียต[58] รวมถึงหนังสือ "ประวัติพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต (บอลเชวิค)"[55] นอกจากนี้ สอยังอ่านงานของเหมา เจ๋อตง โดยเฉพาะตำรา "ประชาธิปไตยใหม่" (On New Democracy) ซึ่งเป็นตำราที่วางกรอบแนวทางการปฏิวัติในสังคมอาณานิคม กึ่งอาณานิคม หรือกึ่งศักดินา[59] ขณะเดียวกัน ก็ยังอ่านหนังสือของนักอนาธิปไตยปิออตร์ โครปอตกิน เรื่อง การปฏิวัติอันยิ่งใหญ่ (The Great Revolution) ที่เกี่ยวกับการปฏิวัติฝรั่งเศส[60] จากหนังสือของโครปอตกิน เขาได้รับแนวคิดว่าการปฏิวัติต้องมีพันธมิตรระหว่างปัญญาชนกับชาวนา การปฏิวัติต้องดำเนินไปจนสำเร็จโดยไม่ประนีประนอม และความเสมอภาคเป็นรากฐานของสังคมคอมมิวนิสต์[61]

ในกัมพูชา ความขัดแย้งภายในประเทศเพิ่มขึ้น จนพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ สั่งยุบรัฐบาลและประกาศตนเป็นนายกรัฐมนตรีเอง[62] สอจึงเขียนบทความเพื่อตอบสนองต่อเหตุการณ์นี้ โดยมีชื่อว่า "ราชาธิปไตยหรือประชาธิปไตย?" ตีพิมพ์ในนิตยสารนักศึกษา "เขมรนิสิต" (Khmer Nisut) โดยใช้นามแฝงว่า เขมรเดิม (Khmer daom)[63] ในบทความเขาให้ความเห็นเชิงบวกต่อศาสนาพุทธ โดยมองพระภิกษุว่าเป็นกำลังในการต่อต้านระบอบกษัตริย์และอยู่เคียงข้างชาวนา[64] ในที่ประชุมของกลุ่มแซกล์มาร์กซิสต์ ได้ตัดสินใจส่งใครสักคนกลับกัมพูชาเพื่อตรวจสอบสถานการณ์และประเมินว่าควรสนับสนุนกลุ่มกบฏใด สอจึงอาสารับหน้าที่นี้[65] โดยการตัดสินใจกลับประเทศของเขาอาจเกิดจากการสอบไม่ผ่านปีที่สองติดต่อกันสองปี ทำให้สูญเสียทุนการศึกษา[66] ในเดือนธันวาคม เขาเดินทางกลับกัมพูชาด้วยเรือแอ็สแอ็ส ฌามิก[67] โดยไม่ได้สำเร็จการศึกษา[68]

การปฏิวัติและการเคลื่อนไหวทางการเมือง

[แก้]

กลับสู่กัมพูชา: พ.ศ. 2496–2497

[แก้]
พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ทรงยุบรัฐบาลและรัฐสภากัมพูชาก่อนที่ประเทศจะได้รับเอกราชจากฝรั่งเศสใน พ.ศ. 2496

สอเดินทางมาถึงไซ่ง่อน (นครโฮจิมินห์ในอนาคต) เมื่อวันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2496 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่สมเด็จพระนโรดม สีหนุ ทรงประกาศยุบรัฐสภาที่กรมประชาธิปไตยครองเสียงข้างมาก แล้วปกครองด้วยพระราชกฤษฎีกา พร้อมทั้งจับกุมสมาชิกสภาของกรมประชาธิปไตยโดยไม่มีการพิจารณาคดึ[65] ขณะนี้ กัมพูชากำลังเผชิญกับสงครามกลางเมือง ท่ามกลางบริบทของสงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่งที่เกิดขึ้นในอาณานิคมใกล้เคียง[69] โดยทุกฝ่ายต่างก่อเหตุสังหารพลเรือนและก่ออาชญากรรมร้ายแรง[70] สอใช้เวลาหลายเดือนอยู่ที่กองบัญชาการของเจ้าชายนโรดม จันทรังสี ผู้นำกบฏฝ่ายหนึ่ง ในตรเพ็งโกรเลือง[71] ก่อนที่จะย้ายไปกรุงพนมเปญ ที่ซึ่งได้พบกับเปง สาย เพื่อนสมาชิกแซกล์มาร์กซิสต์ เพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์[72] สอมองว่าเขมรเหวียตมิญ ซึ่งเป็นกลุ่มกองโจรผสมเวียดนามกับกัมพูชาของเหวียตมิญในเวียดนามเหนือ เป็นกลุ่มต่อต้านที่มีโอกาสชนะมากที่สุด เขาเชื่อว่าความสัมพันธ์ของเขมรเหวียตมิญกับเหวียตมิญ และกับขบวนการคอมมิวนิสต์สากลจะทำให้กลุ่มนี้เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดที่แซกล์มาร์กซิสต์ควรให้การสนับสนุน[73] สมาชิกแซกล์ในปารีสจึงรับรองข้อเสนอแนะดังกล่าว[74]

ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2496 สอและรัต เสมือน เดินทางมาที่กองบัญชาการเหวียตมิญเขตตะวันออกในหมู่บ้านกระเบา[75] โดยตลอดเก้าเดือนต่อมา มีสมาชิกแซกล์อีกประมาณ 12 คน เข้าร่วมกับพวกเขาที่นั่น[76] ที่หมู่บ้านกระเบา สอพบว่าเขมรเหวียตมิญอยู่ในการควบคุมและมีจำนวนกำลังพลหลักเป็นชาวเวียดนาม ส่วนชาวเขมรส่วนใหญ่ได้รับมอบหมายให้ทำงานเบ็ดเตล็ด โดยสอได้รับหน้าที่ให้ปลูกมันสำปะหลังหรือทำงานในโรงอาหาร[77] เขาใช้โอกาสนี้เรียนรู้ภาษาเวียดนามในระดับพื้นฐาน[78] และค่อย ๆ เลื่อนตำแหน่งจนได้เป็นเลขานุการและผู้ช่วยของตู สามุต เลขาธิการเขมรเหวียตมิญเขตตะวันออก[79]

สมเด็จพระนโรดม สีหนุ ทรงปรารถนาที่จะให้กัมพูชาได้รับเอกราชจากฝรั่งเศส แต่เมื่อฝรั่งเศสปฏิเสธ พระองค์จึงทรงเรียกร้องให้ประชาชนลุกขึ้นต่อต้านในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2496 ทำให้ทหารเขมรจำนวนมากพากันหนีออกจากกองทัพฝรั่งเศส สุดท้ายรัฐบาลฝรั่งเศสจึงยอมอ่อนข้อ แทนที่จะเสี่ยงทำสงครามยืดเยื้อและเสียค่าใช้จ่ายมหาศาล[80] แม้ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2496 พระองค์ทรงประกาศเอกราชของกัมพูชา[81] แต่ความขัดแย้งภายในประเทศกลับทวีความรุนแรงขึ้น โดยฝรั่งเศสให้การสนับสนุนการทำสงครามของสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ในการต่อต้านฝ่ายกบฏ[82] ภายหลังการประชุมเจนีวาซึ่งจัดขึ้นเพื่อยุติสงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่ง สมเด็จพระนโรดม สีหนุ ทรงสามารถบรรลุข้อตกลงกับเวียดนามเหนือให้ถอนกองกำลังเขมรเหวียตมิญออกจากดินแดนกัมพูชา[83] โดยหน่วยสุดท้ายของเขมรเหวียตมิญถอนกำลังออกไปยังเวียดนามเหนือในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2497[84] แต่สอไม่ได้ติดตามไปด้วย เขาตัดสินใจอยู่ในกัมพูชา โดยเดินทางอ้อมผ่านเวียดนามใต้มายังเมืองไพรแวง ก่อนจะเข้าสู่พนมเปญ[85] เขาและนักปฏิวัติชาวกัมพูชาอีกหลายคนตกลงกันว่าจะเดินหน้าตามเป้าหมายด้วยวิถีทางการเมืองผ่านการเลือกตั้งต่อไป[86]

เริ่มต้นการเคลื่อนไหว: พ.ศ. 2498–2502

[แก้]

ขบวนการคอมมิวนิสต์กัมพูชาต้องการดำเนินงานอย่างลับ ๆ แต่ก็ได้จัดตั้งพรรคสังคมนิยมภายใต้ชื่อ "กรมประชาชน" ขึ้นมาเป็นองค์กรแนวหน้าเพื่อลงแข่งขันในการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2498[87] แม้กรมประชาชนจะมีฐานเสียงที่แข็งแกร่งในบางพื้นที่ แต่ผู้สังเกตการณ์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่ากรมประชาธิปไตยจะเป็นฝ่ายชนะ[88] สมเด็จพระนโรดม สีหนุ ทรงเกรงว่าหากกรมประชาธิปไตยได้จัดตั้งรัฐบาล จะเป็นภัยต่อพระองค์ จึงทรงสละราชสมบัติในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2498 ให้แด่พระบาทสมเด็จพระนโรดม สุรามฤต พระราชบิดา เพื่อให้พระองค์สามารถก่อตั้งพรรคการเมืองได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยพระองค์จึงจัดตั้งพรรคสังคมราษฎรนิยมเพื่อเข้าร่วมการเลือกตั้งครั้งนี้[89]การเลือกตั้งที่จัดขึ้นในเดือนกันยายนเต็มไปด้วยการข่มขู่ผู้มีสิทธิและการฉ้อโกงการเลือกตั้ง และพรรคสังคมราษฎรนิยมก็เป็นฝ่ายชนะที่นั่งทั้งหมด 91 ที่นั่ง[90] การก่อตั้งรัฐพรรคการเมืองเดียวโดยพฤตินัยของสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ได้ทำลายความหวังที่ฝ่ายซ้ายกัมพูชาจะเข้าสู่อำนาจด้วยหนทางการเลือกตั้ง[91] อย่างไรก็ตาม รัฐบาลเวียดนามเหนือยังคงกดดันให้พรรคเขมรไม่หวนกลับไปจับอาวุธ เนื่องจากเป้าหมายหลัก คือ การโค่นล้มเวียดนามใต้ และไม่ต้องการทำให้ระบอบสีหนุสั่นคลอน เพราะจะเป็นประโยชน์ต่อเวียดนามเหนือที่กัมพูชายังคงวางตัวเป็นกลางทางการเมืองระหว่างประเทศ แทนที่จะเลือกเข้าข้างสหรัฐอเมริกาเช่นเดียวกับรัฐบาลไทยและเวียดนามใต้[92]

สอเช่าบ้านในเขตบึงเกงกาง กรุงพนมเปญ[93] แม้จะไม่มีคุณสมบัติพอที่จะสอนในโรงเรียนรัฐบาล[94] แต่เขาก็ได้งานเป็นครูสอนประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ วรรณคดีฝรั่งเศส และศีลธรรม ที่โรงเรียนเอกชนจำเริญวิชา (Chamraon Vichea; แปลว่า ความรู้ที่ก้าวหน้า)[95] โดยลูกศิษย์ของเขา ซึ่งรวมถึงนักประพันธ์ในเวลาต่อมาอย่างสุทธ บูลีน ได้บรรยายว่าเขาเป็นครูที่ดี[96] เขาเคยตามจีบสตรีชั้นสูงที่มีนามว่า เซือง ซอน มาลี[97] ก่อนที่จะคบหากับนักปฏิวัติคอมมิวนิสต์ผู้เป็นสหายร่วมอุดมการณ์อย่างเขียว พอนนารี พี่สาวของเขียว ธิริทธ์ ภรรยาของเอียง ซารี[98] ทั้งคู่สมรสกันตามพิธีทางศาสนาพุทธในวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2499 โดยฟิลิป ชอร์ต กล่าวว่าสอจงใจเลือกวันนี้ให้ตรงกับวันบัสตีย์ อันมีความหมายเชิงสัญลักษณ์[99] การติดต่อทั้งหมดระหว่างกรมประชาธิปไตยกับกรมประชาชนล้วนผ่านเขา รวมถึงการติดต่อกับเครือข่ายใต้ดินส่วนใหญ่ด้วย[100]สมเด็จพระนโรดม สีหนุ ทรงเริ่มกวาดล้างขบวนการดังกล่าว ซึ่งทำให้จำนวนสมาชิกลดลงกว่าครึ่งนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามกลางเมือง[101] ความเกี่ยวโยงกับกลุ่มคอมมิวนิสต์เวียดนามเหนือก็ลดลง ซึ่งในภายหลังสอมองว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะ "ทำให้เรามีโอกาสพึ่งพาและพัฒนาได้ด้วยตัวเอง"[102] เขาและสมาชิกคนอื่นเริ่มเห็นว่าชาวกัมพูชานอบน้อมต่อเวียดนามมากเกินไป และเพื่อตอบสนองต่อปัญหานี้ สาฬต สอ, ตู สามุต, และนวน เจีย จึงร่างโครงการและข้อบังคับสำหรับการจัดตั้งพรรคใหม่ที่เป็นพันธมิตรแต่ไม่อยู่ในการควบคุมของเวียดนาม[103] พวกเขาจัดตั้งกลุ่มย่อยของพรรค โดยมุ่งเน้นการรับสมัครสมาชิกจำนวนน้อยแต่มีความทะเยอทะยานสูง และจัดสัมมนาการเมืองตามที่หลบภัย[104]

พรรคแรงงานกัมพูชา: พ.ศ. 2502–2505

[แก้]

ณ การประชุมเมื่อ พ.ศ. 2502 แกนนำขบวนการคอมมิวนิสต์ได้จัดตั้งพรรคแรงงานกัมพูชาขึ้นตามแบบอย่างลัทธิมากซ์–เลนินในหลักการประชาธิปไตยแบบรวมศูนย์ สาฬต สอ, ตู สามุต, และนวน เจีย เป็นหนึ่งในคณะกรรมการกิจการทั่วไปจำนวน 4 คน ที่เป็นแกนนำพรรค[105] การมีอยู่ของพรรคถูกเก็บไว้เป็นความลับจากผู้ที่ไม่ได้เป็นสมาชิก[106] การประชุมลับของพรรคแรงงานกัมพูชาจัดขึ้นที่กรุงพนมเปญระหว่างเดือนกันยายนถึงตุลาคม พ.ศ. 2503 โดยมติที่ประชุมเลือกตู สามุต เป็นเลขาธิการพรรค นวน เจีย เป็นรองเลขาธิการ ส่วนสอได้รับตำแหน่งอันดับสาม และเอียง ซารี ได้รับตำแหน่งอันดับสี่[107][108]

สมเด็จพระนโรดม สีหนุ ทรงออกมากล่าวต่อต้านกลุ่มคอมมิวนิสต์เขมร พร้อมทั้งเตือนถึงรูปแบบการรวบอำนาจเบ็ดเสร็จและการปราบปรามเสรีภาพส่วนบุคคลของพรรค[109] ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2505 หน่วยความมั่นคงของพระองค์ได้กวาดล้างฝ่ายสังคมนิยม จับกุมผู้นำกรมประชาชน ส่งผลให้พรรคแทบไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีก[110] ต่อมาในเดือนกรกฎาคม ตู สามุต ถูกจองจำ ทรมาน และสังหาร[111] ส่วนนวน เจีย ก็ถอยห่างจากการเคลื่อนไหวทางการเมือง ทำให้เส้นทางสู่การเป็นผู้นำพรรคของสอเปิดกว้างขึ้น[112]

นอกจากต้องเผชิญการต่อต้านจากฝ่ายซ้ายแล้ว รัฐบาลของพระองค์ยังเผชิญแรงกดดันจากฝ่ายค้านปีกขวา ซึ่งนำโดยซ็อม ซารี อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีของสมเด็จพระนโรดม สีหนุ โดยมีสหรัฐอเมริกาไทย และเวียดนามใต้ให้การสนับสนุน[113] หลังจากเวียดนามใต้สนับสนุนการก่อรัฐประหารที่ล้มเหลวต่อรัฐบาลสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศก็เสื่อมถอยลง และสหรัฐอเมริกาได้เริ่มการปิดล้อมทางเศรษฐกิจกัมพูชาตั้งแต่ พ.ศ. 2499[114] หลังการสิ้นพระชนม์ของพระราชบิดาใน พ.ศ. 2503 สมเด็จพระนโรดม สีหนุ ทรงได้แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเปิดทางให้พระองค์เป็นประมุขของรัฐตลอดพระชนม์ชีพ[115] ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2505 การประท้วงของนักศึกษาต่อต้านรัฐบาลได้บานปลายกลายเป็นการจลาจล สมเด็จพระนโรดม สีหนุ จึงทรงปลดรัฐบาลสังคมราษฎรนิยม จัดการเลือกตั้งใหม่ และเสนอรายชื่อชาวกัมพูชาที่มีแนวคิดฝ่ายซ้าย 34 คน ให้เข้าพบพระองค์เพื่อจัดตั้งรัฐบาลใหม่[116] ซึ่งสออยู่ในรายชื่อดังกล่าวด้วย อาจเป็นเพราะบทบาทของเขาในฐานะครู แต่เขาปฏิเสธที่จะเข้าพบพระองค์ เขาและเอียง ซารี จึงเดินทางออกจากพนมเปญ ไปยังค่ายเหวียตก่งใกล้เมืองทบวงขมุม บริเวณป่าริมชายแดนกัมพูชา–เวียดนามใต้[117] แชนด์เลอร์กล่าวว่า "นับจากนี้เป็นต้นไป เขาก็กลายเป็นนักปฏิวัติเต็มตัว"[118]

วางแผนกบฏ: พ.ศ. 2505–2511

[แก้]

สภาพความเป็นอยู่ของค่ายเหวียตก่งเป็นไปอย่างเรียบง่ายและอาหารก็ขาดแคลน[119] ขณะเดียวกัน รัฐบาลสมเด็จพระนโรดม สีหนุ เริ่มกวาดล้างขบวนการคอมมิวนิสต์ในกรุงพนมเปญ ทำให้สมาชิกจำนวนมากหนีเข้าป่าไปสมทบกับสอที่ฐานที่มั่นในป่า[120] ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2506 ณ การประชุมใหญ่ครั้งที่สองของพรรค ซึ่งจัดขึ้นที่อพาร์ตเมนต์กลางกรุงพนมเปญ สอได้รับเลือกเป็นเลขาธิการพรรค แต่ไม่นานก็ต้องหลบหนีเข้าป่าเพื่อเลี่ยงการปราบปรามของรัฐบาล[121] ต้นปี พ.ศ. 2507 สอตั้งค่ายของตนเองชื่อ "สำนักงาน 100" บริเวณชายแดนฝั่งเวียดนามใต้ เหวียตก่งยอมให้ขบวนการนี้แยกอิสระจากตนอย่างเป็นทางการ แต่ยังคงมีอิทธิพลและมีอำนาจควบคุมค่ายของเขาอยู่มาก[120] ในที่ประชุมคณะกรรมการกลางของพรรค มีมติให้เน้นย้ำความเป็นอิสระจากการครอบงำของเวียดนาม และสนับสนุนการต่อสู้ด้วยอาวุธต่อต้านสมเด็จพระนโรดม สีหนุ[120]

คณะกรรมการกลางของพรรคได้ประชุมอีกครั้งในเดือนมกราคม พ.ศ. 2508 เพื่อประณามแนวทาง "การเปลี่ยนผ่านอย่างสันติ" สู่สังคมนิยมที่เสนอโดยนีกีตา ครุชชอฟ นายกรัฐมนตรีสหภาพโซเวียต โดยกล่าวหาว่าเขาเป็นพวกลัทธิแก้ (revisionist)[122] ในทางตรงกันข้ามกับการตีความลัทธิมากซ์–เลนินแบบครุขชอฟ สอและสหายพยายามพัฒนาความคิดแบบใหม่ที่เป็น "ลัทธิคอมมิวนิสต์แบบกัมพูชา" อย่างชัดเจน[123] แนวคิดนี้หันเหออกจากลัทธิมากซ์ดั้งเดิมที่เน้นชนชั้นกรรมาชีพในเขตเมืองเป็นพลังหลักของการปฏิวัติเพื่อสร้างสังคมนิยม แต่กลับมอบบทบาทนั้นให้แก่ชนชั้นชาวนาในชนบท ซึ่งมีจำนวนมากกว่ามากในสังคมกัมพูชา[124] ใน พ.ศ. 2508 พรรคถือว่าชนชั้นกรรมาชีพขนาดเล็กของกัมพูชามี "สายลับศัตรู" แฝงตัวอยู่เต็มไปหมด จึงปฏิเสธไม่ให้เข้าเป็นสมาชิกอย่างเป็นระบบ[125] ฐานการเติบโตหลักของพรรคอยู่ในจังหวัดชนบท และภายในปีเดียวกันนั้น สมาชิกพรรคก็เพิ่มขึ้นถึง 2,000 คน[126] ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2508 สอได้เดินเท้าตามเส้นทางโฮจิมินห์ไปยังกรุงฮานอย เพื่อพบกับผู้นำรัฐบาลเวียดนามเหนือ ซึ่งรวมถึงโฮจิมินห์และเลสวน[127] ฝ่ายเวียดนามเหนือที่กำลังพัวพันกับสงครามเวียดนาม ไม่ต้องการให้กองกำลังของสอสั่นคลอนรัฐบาลสมเด็จพระนโรดม สีหนุ เนื่องจากท่าทีต่อต้านอเมริกาของพระองค์ทำให้กัมพูชากลายเป็นพันธมิตรโดยปริยาย[128] ที่ฮานอย สอได้ศึกษาหอจดหมายเหตุของพรรคแรงงานเวียดนาม และสรุปว่าขบวนการคอมมิวนิสต์เวียดนามมีเป้าหมายสร้างสหพันธรัฐอินโดจีน ซึ่งเป้าหมายดังกล่าวไม่สอดคล้องกับของกัมพูชาเลย[129]

ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2508 สาฬต สอ ลี้ภัยจากกรุงฮานอยไปกรุงปักกิ่ง โดยมีเติ้ง เสี่ยวผิง เป็นเจ้าภาพต้อนรับอย่างเป็นทางการ แม้ว่าส่วนใหญ่จะเข้าพบกับเผิง เจิน ก็ตาม[130] สอได้รับการต้อนรับอย่างเห็นอกเห็นใจจากหลายบุคคลในพรรคคอมมิวนิสต์จีน โดยเฉพาะเฉิน ปั๋วต๋า,จาง ชุนเฉียว, และคัง เชิง ซึ่งล้วนมีทัศนะด้านลบต่อครุชชอฟในห้วงความแตกแยกระหว่างจีน–โซเวียต[131][132] เจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนยังได้อบรมเขาในหัวข้อ เช่นเผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพการต่อสู้ระหว่างชนชั้น และการชำระล้างทางการเมือง[131][133] ที่ปักกิ่ง สอยังได้พบเห็นการปฏิวัติทางวัฒนธรรมของจีนที่กำลังดำเนินอยู่ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นอิทธิพลสำคัญต่อนโยบายของเขาเอง[134]

ธงพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา องค์กรที่สมาชิกมักถูกเรียกกันอย่างไม่เป็นทางการว่า "เขมรแดง"

สอเดินทางออกจากกรุงปักกิ่งในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2509 และบินกลับไปกรุงฮานอย ก่อนจะเดินเท้าตามเส้นทางโฮจิมินห์เป็นเวลา 4 เดือน เพื่อไปยังฐานที่มั่นใหม่ของกัมพูชาที่หล่กนิญ[131][135] ต่อมาในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2509 เขาและผู้นำพรรคกัมพูชาคนอื่น ๆ ได้ตัดสินใจสำคัญหลายประการ หนึ่งในนั้นคือการเปลี่ยนชื่อองค์กรเป็นพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา แม้ในช่วงแรกจะเก็บเป็นความลับ[136] ด้านสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ทรงเริ่มเรียกสมาชิกของพรรคว่า "เขมรแดง" แต่ทางพรรคเองยังไม่ได้ยอมรับคำนี้[137] ที่ประชุมพรรคยังมีมติย้ายกองบัญชาการไปยังจังหวัดรัตนคีรี เพื่อลดการพึ่งพาเหวียตก่ง[138] และแม้จะขัดกับความเห็นของเวียดนามเหนือ ทางพรรคก็ยังสั่งการให้คณะกรรมการประจำเขตเตรียมการสำหรับการรื้อฟื้นการต่อสู้ด้วยอาวุธ[139] เวียดนามเหนือจึงตอบปฏิเสธ ไม่ยอมให้ความช่วยเหลือด้านอาวุธยุทโธปกรณ์[140] ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2510 สอเดินทางจากเต็ยนิญไปยังฐานสำนักงาน 102 ใกล้กับกางเล็ง ระหว่างทางเขาล้มป่วยด้วยโรคมาลาเรียจนต้องหยุดพักรักษาตัวที่ฐานพยาบาลของเหวียตก่งใกล้ภูเขางอร์ก[141] ในเดือนธันวาคม แผนการสู้รบด้วยอาวุธก็เสร็จสมบูรณ์ โดยกำหนดให้เริ่มสงครามในเขตตะวันตกเฉียงเหนือ ก่อนจะขยายไปยังภูมิภาคอื่น ๆ[142] เนื่องจากการสื่อสารในกัมพูชายังล่าช้า แต่ละเขตจึงต้องดำเนินการอย่างเป็นอิสระเกือบตลอดเวลา[143]

สงครามกลางเมืองกัมพูชา

[แก้]
บทความหลัก:สงครามกลางเมืองกัมพูชา

การต่อต้านพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ

[แก้]

ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2511 สงครามได้เริ่มต้นขึ้นด้วยการโจมตีฐานทัพบัยดำราน ทางตอนใต้ของพระตะบอง[144] ต่อจากนั้นมีการโจมตีเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร พร้อมทั้งยึดอาวุธยุทโธปกรณ์[143] รัฐบาลจึงตอบโต้ด้วยนโยบาย "กลยุทธ์ผลาญภพ" โดยใช้การทิ้งระเบิดทางอากาศถล่มพื้นที่ที่กบฏเคลื่อนไหว[145] แต่ความโหดร้ายของกองทัพกลับยิ่งเอื้อประโยชน์แก่ฝ่ายกบฏ[146]โดยเมื่อการก่อการกำเริบเริ่มลุกลาม ชาวบ้านกว่า 100,000 คน ได้เข้าร่วมกับฝ่ายกบฏ[143] ในฤดูร้อนปีเดียวกัน สอย้ายฐานที่มั่นไปทางเหนือราว 48 กิโลเมตร (30 ไมล์) ไปยังพื้นที่ภูเขาที่เรียกว่า "หางนาค" เพื่อหลีกเลี่ยงการรุกคืบของกองทัพรัฐบาล[147] ที่ฐานที่มั่นแห่งนี้ ซึ่งมีชื่อรหัสว่า เค-5 เขาได้เสริมสร้างอำนาจเหนือพรรคมากขึ้น โดยจัดตั้งค่ายแยกเป็นของตนเอง มีเจ้าหน้าที่และทหารรักษาการณ์ส่วนตัว และไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้าพบได้หากไม่มีผู้คุม[147] เขายังเข้ามารับตำแหน่งเลขาธิการเขตตะวันออกเฉียงเหนือแทนเอียง ซารี[148] ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2512 สอได้เดินทางไปยังฮานอยเพื่อพยายามเกลี้ยกล่อมรัฐบาลเวียดนามเหนือให้มอบความช่วยเหลือทางทหารโดยตรง แต่ถูกปฏิเสธ โดยฝ่ายเวียดนามเหนือแนะนำให้เขาหันกลับไปใช้การต่อสู้ทางการเมืองแทน[149] ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2513 เขาจึงเดินทางต่อไปยังปักกิ่ง[149] ที่กรุงปักกิ่ง ภรรยาของเขาเริ่มแสดงอาการระยะแรกของโรคจิตเภทหวาดระแวงเรื้อรัง ซึ่งต่อมาจะได้รับการวินิจฉัยอย่างเป็นทางการ[150]

การต่อต้านลอน นอล

[แก้]

การร่วมมือกับพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ: พ.ศ. 2513–2514

[แก้]
รัฐประหาร พ.ศ. 2513 ทำให้ลอน นอล เข้าควบคุมกัมพูชาและจัดตั้งรัฐบาลฝ่ายขวาที่สนับสนุนสหรัฐอเมริกา

ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2513 ระหว่างที่สออยู่ในปักกิ่ง รัฐสภากัมพูชาภายใต้การนำของนายพลลอน นอล ได้ปลดสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ในช่วงที่พระองค์อยู่นอกประเทศ[151] ต่อมาสมเด็จพระนโรดม สีหนุ เสด็จพระราชดำเนินไปยังกรุงปักกิ่งเช่นกัน โดยที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนและเวียดนามเหนือได้กดดันให้พระองค์ร่วมมือกับเขมรแดงเพื่อโค่นล้มรัฐบาลฝ่ายขวาของลอน นอล ซึ่งพระองค์ก็ทรงยอมรับข้อเสนอนั้น[152] ส่วนสอก็ตกลงเช่นกันตามคำแนะนำของโจว เอินไหล แม้เขาจะปกปิดบทบาทอันทรงอำนาจของตนในพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาไว้จากสมเด็จพระนโรดม สีหนุ[153] จากนั้น สมเด็จพระนโรดม สีหนุ ทรงจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นที่ปักกิ่ง และทรงประกาศก่อตั้ง "แนวร่วมรวบรวมชาติกัมพูชา" เพื่อรวบรวมฝ่ายต่อต้านลอน นอล[154] การสนับสนุนของสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ต่อเขมรแดงส่งผลให้สมาชิกของพรรคเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยผู้ที่เข้าร่วมใหม่จำนวนมากเป็นชาวนาไม่ฝักใฝ่การเมืองซึ่งลุกขึ้นสู้เพื่อกษัตริย์ มากกว่าจะเข้าใจหรือสู้เพื่ออุดมการณ์คอมมิวนิสต์[155]

ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2513 สอได้บินไปยังกรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม[156] เขาได้ย้ำต่อเลขาธิการ เล สวน ว่าแม้เขาจะต้องการให้เวียดนามส่งอาวุธมาให้เขมรแดง แต่ไม่ต้องการให้กองทัพเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะชาวกัมพูชาต้องเป็นผู้โค่นล้มลอน นอล และรัฐบาลทหารด้วยตนเอง[157] อย่างไรก็ตาม กองทัพเวียดนามเหนือร่วมกับเหวียตก่งก็ยังรุกรานกัมพูชาเพื่อโจมตีกองทัพของลอน นอล ขณะที่เวียดนามใต้และสหรัฐอเมริกาได้ส่งกองทัพเข้ามาช่วยเสริมกำลังรัฐบาลของเขา[158] เหตุการณ์นี้ทำให้กัมพูชาถูกดึงเข้าสู่สงครามอินโดจีนครั้งที่สองที่กำลังปะทุในเวียดนามอยู่แล้ว[159] สหรัฐอเมริกาได้ทิ้งระเบิดในกัมพูชามากกว่า 3 เท่าของจำนวนที่ใช้กับญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง[160] แม้สหรัฐจะมีเป้าหมายหลักของสหรัฐ คือ ค่ายหวียตก่งและเขมรแดง แต่ในความเป็นจริง ผู้ที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่กลับเป็นพลเรือน[161] เหตุนี้ยิ่งเป็นปัจจัยกระตุ้นให้ประชาชนเข้าร่วมเขมรแดงมากขึ้น[162] โดยประมาณสิ้นปี พ.ศ. 2513 เขมรแดงมีกำลังพลประจำราว 12,000 นาย และเพิ่มขึ้นเป็น 4 เท่าใน พ.ศ. 2515[163]

หลังจากที่กองทัพเวียดนามรุกรานกัมพูชาเพื่อโค่นล้มรัฐบาลลอน นอล สหรัฐอเมริกา (กองกําลังในภาพ) ก็ส่งทหารเข้ามาเพื่อสนับสนุนรัฐบาลของเขาเช่นกัน

ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2513 สอเดินทางออกจากเวียดนามและไปถึงฐานเค-5[164] จากนั้นในเดือนกรกฎาคม เขามุ่งหน้าลงใต้ และในช่วงนี้เองที่เขาเริ่มใช้ชื่อ "พล" ซึ่งต่อมาแต่งเติมชื่อเป็น "พล พต"[165] ในเดือนกันยายน เขาตั้งฐานที่มั่นอยู่ที่ค่ายบริเวณเขตแดนระหว่างจังหวัดกระแจะและกำปงธม และได้เรียกประชุมคณะกรรมการประจำพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา แม้สมาชิกระดับสูงจะเข้าร่วมเพียงไม่กี่คน แต่ที่ประชุมก็ออกมติยืนยันหลักการ "เอกราช–อำนาจควบคุม" หมายความถึงแนวคิดที่ว่ากัมพูชาจะต้องพึ่งพาตนเองและเป็นเอกราชอย่างสมบูรณ์จากต่างชาติ[166] ในเดือนพฤศจิกายน พล พต, เขียว พอนนารี, และคณะผู้ติดตาม ได้ย้ายไปยังฐานเค-1 ที่ตำบลดังก์ดา[167] ที่พักของเขาตั้งอยู่ทางตอนเหนือของแม่น้ำจีนิต และมีการควบคุมการเข้าออกอย่างเข้มงวด[168] ภายในสิ้นปีนั้น กองกำลังคอมมิวนิสต์ได้มีอิทธิพลครอบคลุมกว่าครึ่งหนึ่งของกัมพูชาแล้ว[160]อย่างไรก็ตาม บทบาทของเขมรแดงยังมีข้อจำกัด เพราะตลอด พ.ศ. 2514 และ พ.ศ. 2515 การต่อสู้กับลอน นอล ส่วนใหญ่ยังคงกระทำโดยกองทัพเวียดนามเหนือ หรือโดยชาวกัมพูชาที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเวียดนาม[169]

ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2514 มีการประชุมคณะกรรมการกลางที่ฐานเค-1 โดยมีผู้แทน 27 คน เข้าร่วมการประชุมเพื่อหารือเกี่ยวกับสงคราม[170] โดยตลอด พ.ศ. 2514 พล พต และสมาชิกอาวุโสของพรรคคนอื่น ๆ มุ่งเน้นไปที่การสร้างกองทัพเขมรแดงประจำการและระบบบริหารที่จะสามารถเข้ามามีบทบาทสำคัญเมื่อเวียดนามถอนกำลังออก[167] การรับสมาชิกพรรคมีความเข้มงวดมากขึ้น โดยอนุญาตเพียงผู้ที่ได้รับการจัดว่าเป็น "ชาวนาผู้ยากจน" เท่านั้น ไม่รวมถึง "ชาวนาชนชั้นกลาง" หรือนักศึกษา[171] ในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม พล พต ดูแลหลักสูตรฝึกอบรมแกนนำพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาเป็นเวลา 1 เดือน ณ กองบัญชาการเขตเหนือ[172] หลังจากนั้น มีการจัดการประชุมใหญ่ครั้งที่สามของพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา โดยมีผู้แทนเข้าร่วมประมาณ 60 คน ซึ่งที่ประชุมได้ยืนยันให้พล พต ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการกลางและประธานคณะกรรมาธิการทหารของพรรค[172]

ความขัดแย้งอย่างต่อเนื่อง: พ.ศ. 2515

[แก้]
เครื่องแต่งกายของเขมรแดง

ต้นปี พ.ศ. 2515 พล พต เริ่มต้นการเดินทางครั้งแรกตามพื้นที่ที่ฝ่ายลัทธิมากซ์ควบคุมทั่วกัมพูชา[172] พื้นที่เหล่านี้เรียกว่า "เขตปลดปล่อย" มีการกำจัดการทุจริต ห้ามการพนัน และรณรงค์ให้ลดการดื่มสุราและการมีสัมพันธ์นอกสมรส[173] นับตั้งแต่ พ.ศ. 2513 ถึง พ.ศ. 2514 เขมรแดงพยายามสร้างความสัมพันธ์อันดีกับประชาชนในพื้นที่ โดยจัดให้มีการเลือกตั้งท้องถิ่นและประชุมสภาชุมชน[174] มีการประการชีวิตบางบุคคลที่ถูกมองว่าเป็นศัตรูกับขบวนการคอมมิวนิสต์ แม้จะไม่บ่อยครั้งนัก[173] มีการยึดยานพาหนะส่วนบุคคลเพื่อนำมาใช้ประโยชน์[175] ที่ดินของชาวนาผู้มั่งคั่งได้รับการจัดสรรใหม่ ทำให้ภายในสิ้นปี พ.ศ. 2515 ทุกครัวเรือนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ของฝ่ายลัทธิมากซ์มีที่ดินเท่า ๆ กัน[176] ประชากรระดับล่างที่สุดของสังคมกัมพูชาได้รับประโยชน์จากการปฏิรูปเหล่านี้[175]

นับตั้งแต่ พ.ศ. 2515 เป็นต้นมา เขมรแดงเริ่มพยายามปรับโฉมกัมพูชาทั้งประเทศให้เป็นไปตามแบบของชาวนายากจน ชีวิตชนบทที่โดดเดี่ยวและพึ่งพาตนเองได้รับการยกย่องและควรเอาเป็นแบบอย่าง[177] โดยในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2515 เขมรแดงเริ่มสั่งให้ทุกคนที่อยู่ในการควบคุมแต่งกายเหมือนชาวนายากจน โดยใส่ชุดสีดำ ผ้าพันคอกรอมาสีแดง-ขาว และรองเท้าแตะที่ทำจากยางรถยนต์ ข้อจำกัดนี้เริ่มใช้กับชนชาติพันธุ์จาม ก่อนจะขยายไปยังชุมชนอื่น ๆ[178] พล พต ก็แต่งกายในลักษณะเดียวกัน[179]

สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาต้องเข้าร่วม "การประชุมวิถีชีวิต" เป็นประจำ (บางครั้งทุกวัน) ซึ่งมีการวิพากษ์ผู้อื่นและวิจารณ์ตนเอง การประชุมนี้ได้ปลูกฝังบรรยากาศของความระวังตัวและความสงสัยอยู่ตลอดเวลา[180] พล พต และนวน เจีย เป็นผู้ดำเนินการประชุมดังกล่าวที่กองบัญชาการของตน แม้ว่าพวกเขาจะได้รับการยกเว้นจากการถูกวิจารณ์[181] ต้นปี พ.ศ. 2515 ความสัมพันธ์ระหว่างเขมรแดงกับพันธมิตรลัทธิมากซ์เวียดนามเริ่มตึงเครียดและเกิดการปะทะรุนแรงในบางครั้ง[182] โดยในปีเดียวกัน กองกำลังหลักของเวียดนามเหนือและเหวียตก่งเริ่มถอนกำลังออกจากกัมพูชาเพื่อไปโจมตีไซ่ง่อน[183] เมื่อเขมรแดงมีอิทธิพลมากขึ้น พรรคได้เพิ่มการควบคุมกองทัพเวียดนามที่ยังปฏิบัติหน้าที่อยู่ในกัมพูชา[184] ใน พ.ศ. 2515 พล พต เสนอให้สมเด็จพระนโรดม สีหนุ ออกจากกรุงปักกิ่งและไปเยือนพื้นที่กัมพูชาที่อยู่ในควบคุมของพรรคคอมมิวนิสต์ และเมื่อพระองค์เสด็จไปเยือน พระองค์ได้พบกับผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ระดับสูง รวมถึง พล พต ด้วย แม้ว่าตัวตนของเขาจะได้รับการปกปิดจากพระองค์[185]

การทำให้เป็นทรัพย์สินรวมและการพิชิตกรุงพนมเปญ: พ.ศ. 2516–2518

[แก้]

ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2516 พล พต มีคำสั่งให้ดำเนินการรวมหมู่บ้านในพื้นที่ที่เขมรแดงควบคุมอยู่[186] การดำเนินการดังกล่าวมีทั้งมิติทางอุดมการณ์และยุทธศาสตร์ กล่าวคือ ในทางอุดมการณ์ การรวมหมู่บ้านมีเป้าหมายเพื่อสร้างสังคมนิยมที่ปราศจากกรรมสิทธิ์เอกชน ขณะที่ในทางยุทธศาสตร์ การรวมหมู่บ้านช่วยให้เขมรแดงสามารถควบคุมแหล่งเสบียงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกษตรกรจัดสรรเสบียงให้แก่กองกำลังรัฐบาล[187] ชาวบ้านจำนวนไม่น้อยไม่พอใจต่อการรวมหมู่บ้าน และได้ฆ่าสัตว์เลี้ยงของตนเพื่อมิให้ตกไปเป็นทรัพย์สินรวม[188] ตลอดระยะเวลาหกเดือนต่อมา มีชาวกัมพูชาประมาณ 60,000 คน อพยพหลบหนีออกจากพื้นที่ที่เขมรแดงควบคุม[187] ทั้งนี้ เขมรแดงยังได้ประกาศใช้ระบบการเกณฑ์ทหารเพื่อเสริมกำลังพล[189] ความสัมพันธ์ระหว่างเขมรแดงกับเวียดนามเหนือยังคงตึงเครียด และภายหลังที่เวียดนามเหนือลดการส่งอาวุธให้แก่เขมรแดงลงชั่วคราว ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2516 คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาได้มีมติให้ถือว่าเวียดนามเหนือเป็น "มิตรที่มีความขัดแย้ง"[190] พล พต จึงสั่งกักกันสมาชิกเขมรแดงหลายคนที่เคยใช้ชีวิตอยู่ในเวียดนามเหนือและถูกมองว่ามีท่าทีเห็นอกเห็นใจฝ่ายนั้น บุคคลเหล่านี้ส่วนใหญ่ถูกประหารชีวิตในเวลาต่อมา[191]

ในฤดูร้อน พ.ศ. 2516 เขมรแดงได้เปิดฉากการโจมตีครั้งใหญ่เป็นครั้งแรกต่อกรุงพนมเปญ แต่ถูกผลักดันกลับไปพร้อมความสูญเสียอย่างหนัก[192] ต่อมาในปีเดียวกันนั้น เขมรแดงเริ่มใช้การยิงปืนใหญ่ถล่มกรุง[193] จากนั้นในฤดูใบไม้ร่วง พล พต ได้เดินทางไปยังฐานที่มั่นชร็อกเสด็จ บริเวณเชิงเขาด้านตะวันออกของทิวเขาบรรทัด[194] และเมื่อถึงฤดูหนาว เขาจึงกลับมายังฐานที่มั่นแม่น้ำจีนิต เพื่อปรึกษาหารือกับเอียง ซารี และนวน เจีย[195] เขามีข้อสรุปว่า เขมรแดงควรเริ่มประกาศอย่างเปิดเผยถึงพันธกิจในการสร้างกัมพูชาให้เป็นสังคมนิยม และควรเปิดปฏิบัติการลับเพื่อต่อต้านอิทธิพลของสมเด็จพระนโรดม สีหนุ[196] ต่อมาในเดือนกันยายน พ.ศ. 2517 คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาได้จัดการประชุมที่หมู่บ้านเมียก ตำบลแพรกกก[196] ณ ที่นั้น เขมรแดงได้มีมติร่วมกันว่าจะบังคับให้ประชาชนในเขตเมืองต่าง ๆ ของกัมพูชาอพยพออกไปอยู่ตามหมู่บ้านชนบท โดยเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งจำเป็นต่อการรื้อถอนระบบทุนนิยม ซึ่งเชื่อมโยงเข้ากับวัฒนธรรมเขตเมือง[197]

ภาพมุมสูงของกรุงพนมเปญจากเฮลิคอปเตอร์ของสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2518

ภายใน พ.ศ. 2517 รัฐบาลลอน นอล ได้สูญเสียการสนับสนุนเป็นอย่างมาก ทั้งจากภายในประเทศและจากนานาชาติ[198]กระทั่งใน พ.ศ. 2518 กองกำลังที่ป้องกันกรุงพนมเปญเริ่มหารือกันเรื่องการยอมจำนน และในที่สุดก็ได้ทำเช่นนั้น และได้เปิดทางให้เขมรแดงเข้าสู่กรุงพนมเปญเมื่อวันที่ 17 เมษายน[199] ที่พนมเปญ กำลังพลเขมรแดงได้ประหารบุคคลระดับสูงของรัฐบาล กองทัพ และตำรวจราว 700 ถึง 800 คน[200] บุคคลระดับสูงบางส่วนสามารถหลบหนีไปได้ โดยลอน นอล ลี้ภัยไปยังสหรัฐอเมริกา[201] เขามอบตำแหน่งรักษาการประธานาธิบดีให้แก่โซกำ โคย แต่บุคคลผู้นี้ก็ได้หลบหนีออกไปเช่นกัน โดยขึ้นเรือรบของสหรัฐอเมริกาที่ออกจากท่าเพียงสิบสองวันต่อมา[202] กองกำลังติดอาวุธของเขมรแดงที่อยู่ในการควบคุมของผู้บัญชาการเขตต่าง ๆ ได้ปะทะกันเองภายในเมืองหลวง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการแย่งชิงอำนาจในพื้นที่ และอีกส่วนหนึ่งมาจากความยุ่งยากในการระบุว่าใครเป็นสมาชิกของกลุ่มและใครไม่ใช่[203]

เขมรแดงมีท่าทีไม่ไว้วางใจประชากรในกรุงพนมเปญมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เนื่องจากจำนวนประชากรในเมืองเพิ่มขึ้นอย่างมากจากผู้ลี้ภัยชาวชนบทที่หนีการรุกคืบของเขมรแดง และถูกมองว่าเป็นผู้ทรยศ[204] ไม่นานหลังจากเข้ายึดกรุงพนมเปญ เขมรแดงได้ประกาศให้ชาวเมืองทั้งหมดต้องอพยพออกไป โดยอ้างว่าจะมีการทิ้งระเบิดจากสหรัฐอเมริกาในไม่ช้า ทั้งนี้ เขมรแดงยังกล่าวความเท็จว่าประชาชนจะสามารถกลับมาได้ภายใน 3 วัน[205] การอพยพครั้งนี้เป็นการเคลื่อนย้ายประชาชนมากกว่า 2.5 ล้านคน ออกจากเมืองหลวง โดยแทบไม่มีการเตรียมการล่วงหน้า[206] มีการนำผู้คนประมาณ 15,000 ถึง 20,000 คน ออกจากโรงพยาบาลในพนมเปญและบังคับให้ออกเดินทางตามขบวน[207] จุดตรวจหลายแห่งสร้างขึ้นตามถนนสายหลักนอกเมือง ซึ่งเจ้าหน้าที่เขมรแดงทำการตรวจค้นและยึดสิ่งของของผู้อพยพ[208] การเดินทางครั้งนี้เกิดขึ้นในเดือนที่ร้อนที่สุดของปี และมีการประเมินว่ามีผู้เสียชีวิตราว 20,000 คน ตลอดเส้นทาง[209][203] สำหรับเขมรแดงแล้ว การทำให้กรุงพนมเปญว่างเปล่าไม่ได้เป็นเพียงการทำลายระบบทุนนิยมในกัมพูชาเท่านั้น แต่ยังเป็นการทำลายฐานอำนาจของสมเด็จพระนโรดม สีหนุ และเครือข่ายสายลับของสำนักข่าวกรองกลาง (ซีไอเอ) ของสหรัฐอีกด้วย การรื้อถอนเช่นนี้ได้เอื้อให้เขมรแดงสามารถครอบงำประเทศได้อย่างเบ็ดเสร็จ และบังคับให้ประชากรเขตเมืองหันไปสู่การผลิตทางการเกษตร[210]

ผู้นำกัมพูชาประชาธิปไตย

[แก้]
บทความหลัก:กัมพูชาประชาธิปไตย

การจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่: พ.ศ. 2518

[แก้]
ในช่วงแรก รัฐบาลพล พต จัดประชุมที่วัดพระแก้วมรกต ซึ่งต่อมากลายเป็นที่พำนักของพล พต

เมื่อวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2518 สามวันหลังกรุงพนมเปญแตก พล พต ได้เดินทางเข้าสู่เมืองหลวงที่ถูกทิ้งร้างอย่างลับ ๆ[211] เขาและผู้นำเขมรแดงคนอื่นใช้สถานีรถไฟเป็นฐานที่มั่นหลัก เนื่องจากสามารถป้องกันได้โดยสะดวก[212] จากนั้นต้นเดือนพฤษภาคม จึงย้ายกองบัญชาการไปยังอาคารกระทรวงการคลังเก่า[211] ไม่นานหลังจากนั้น เหล่าแกนนำพรรคได้จัดการประชุมขึ้น ณวัดพระแก้วมรกต และมีมติร่วมกันว่าการเพิ่มผลผลิตทางเกษตรกรรมควรเป็นภารกิจสำคัญสูงสุดของรัฐบาล[213] พล พต ประกาศว่า "เกษตรกรรมคือกุญแจสำคัญทั้งต่อการสร้างชาติและการป้องกันประเทศ"[213] เขาเชื่อว่าหากกัมพูชาไม่สามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว ก็จะตกอยู่ในความเสี่ยงต่อการถูกเวียดนามครอบงำเช่นที่เคยเกิดขึ้นในอดีต[214] เป้าหมายของพรรค คือ การทำให้การเกษตรมีเครื่องจักรกลใช้ถึงร้อยละ 70 ถึง 80 ภายในเวลา 5 ถึง 10 ปี และสร้างฐานอุตสาหกรรมสมัยใหม่ภายในเวลา 15 ถึง 20 ปี[213] ในโครงการนี้ พล พต เห็นว่าเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างกลไกเพื่อให้ประชากรชาวนาเพิ่มความทุ่มเทและแรงงานมากกว่าที่เคยเป็นมา[215]เขมรแดงซึ่งมีแนวคิดแบบเศรษฐกิจพึ่งพาตนเอง ประสงค์จะสร้างกัมพูชาให้เป็นรัฐเกษตรกรรมที่พึ่งพาตนเองได้ โดยไม่ได้ปฏิเสธความช่วยเหลือจากต่างประเทศโดยสิ้นเชิง แต่กลับมองว่าความช่วยเหลือดังกล่าวมีลักษณะเป็นพิษภัย[216] แม้ว่าจีนจะได้จัดส่งความช่วยเหลือด้านอาหารในปริมาณมาก แต่เขมรแดงก็มิได้ประกาศยอมรับอย่างเปิดเผย[216] ไม่นานหลังจากการยึดกรุงพนมเปญ เอียง ซารี ได้เดินทางไปยังปักกิ่งเพื่อเจรจาจัดหายุทโธปกรณ์จากจีนจำนวน 13,300 ตัน ให้แก่กัมพูชา[217] ในการประชุมสมัชชาแห่งชาติเมื่อเดือนเมษายน เขมรแดงได้ประกาศว่าจะไม่อนุญาตให้มีการตั้งฐานทัพต่างชาติใด ๆ บนแผ่นดินกัมพูชา ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณข่มขู่ต่อเวียดนามที่ยังคงมีกองกำลังจำนวน 20,000 นาย ประจำการอยู่ในประเทศ[218] พล พต, นวน เจีย, และเอียง ซารี เดินทางไปที่ฮานอยในเดือนพฤษภาคม เพื่อระงับความตึงเครียดที่เกิดขึ้นจากการปะทะกับทหารเวียดนามในพื้นที่พิพาทบริเวณเกาะไว และเสนอสนธิสัญญามิตรภาพระหว่างสองประเทศ ซึ่งในระยะสั้นก็ช่วยคลี่คลายความตึงเครียดลงได้[219] หลังจากนั้น พล พต ไก้เดินทางต่อไปยังกรุงปักกิ่งอีกครั้งอย่างลับ ๆ โดยเข้าพบเหมา เจ๋อตง และเติ้ง เสี่ยวผิง[220] แม้ว่าการสื่อสารกับเหมาจะมีข้อจำกัดเพราะต้องพึ่งล่าม แต่เหมาได้เตือนผู้นำกัมพูชารุ่นใหม่ผู้นี้มิให้ลอกเลียนเส้นทางสังคมนิยมของจีนหรือประเทศอื่นโดยไม่ไตร่ตรอง พร้อมทั้งแนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้มาตรการที่รุนแรงเช่นที่เขมรแดงเคยใช้มาแล้ว[221] ขณะอยู่ที่จีน พล พต ยังได้รับการรักษาโรคมาลาเรียและโรคกระเพาะอาหาร[222] ต่อมาเขาเดินทางต่อไปยังเกาหลีเหนือเพื่อเข้าพบคิม อิล-ซ็อง[222] จากนั้นในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม เขาได้กลับสู่กัมพูชา[223] และในเดือนสิงหาคม ก็ออกเดินทางตรวจเยี่ยมเขตตะวันตกเฉียงใต้และเขตตะวันออก[224]

ท่านมีประสบการณ์มากมาย ยอดเยี่ยมกว่าพวกเรา เราไม่มีสิทธิ์จะวิจารณ์ท่าน ... โดยพื้นฐานแล้วท่านทำถูกต้อง แต่ท่านเคยผิดพลาดหรือไม่ ข้าพเจ้าไม่อาจทราบได้ แน่นอนท่านเคยผิดพลาด ดังนั้นจงแก้ไขตนเอง จงปรับให้ถูกให้ควร! ... เพราะหนทางยังคงคดเคี้ยว

— คำแนะนำของเหมาต่อพล พต เมื่อ พ.ศ. 2518[225]

ในเดือนพฤษภาคม พล พต เลือกวัดพระแก้วมรกตเป็นที่พำนักหลักของตน[226] ก่อนที่เขาจะย้ายไปยังอาคารธนาคารที่สร้างขึ้นในทศวรรษ 1960 ซึ่งเป็นอาคารสูงที่สุดในกรุงพนมเปญ และได้รับการเรียกขานว่า "เค1"[227] บุคคลระดับสูงคนอื่น ๆ ของรัฐบาล ได้แก่ นวน เจีย, เอียง ซารี, และวอน เวต ก็พำนักอยู่ที่นั่นด้วย[227] ภรรยาของพล พต ซึ่งอาการป่วยทางจิตเภทได้ทวีความรุนแรงมากขึ้น ได้รับการส่งตัวไปอยู่ในบ้านหลังหนึ่งที่เขตบึงเกงกาง[227] ต่อมาในปีเดียวกันนั้น พล พต ได้พักอาศัยในบ้านเก่าของครอบครัวพอนนารีบนถนนดอกเตอร์ฮาน และในเวลาต่อมา ก็เข้ายึดบ้านพักตากอากาศหลังหนึ่งทางตอนใต้ของกรุงพนมเปญเป็นที่พำนักส่วนตัว[227] พล พต ได้จัดการเลือกตั้งรัฐสภา เพื่อสร้างภาพลักษณ์ความชอบธรรมให้แก่รัฐบาล แม้ว่าจะมีผู้สมัครเพียงคนเดียวในทุกเขตเลือกตั้ง ยกเว้นกรุงพนมเปญก็ตาม[228] ทั้งนี้ รัฐสภาได้มีการประชุมรวมเพียง 3 ชั่วโมงเท่านั้น[229]

แม้ว่าพล พต และเขมรแดงจะยังคงเป็นรัฐบาลโดยพฤตินัย แต่ในระยะแรก รัฐบาลอย่างเป็นทางการของประเทศ คือราชรัฏฐาภิบาลรวบรวมชาติกัมพูชา โดยมีแปน นุต เป็นผู้นำแต่ในนาม แม้ว่าเจ้าตัวจะพำนักอยู่ที่กรุงปักกิ่งตลอดเวลา[230] ตลอดทั้ง พ.ศ. 2518 การควบคุมกัมพูชาของพรรคคอมมิวนิสต์ยังคงเป็นความลับ[231] ในการประชุมสมัชชาแห่งชาติสมัยพิเศษระหว่างวันที่ 25 ถึง 27 เมษายน เขมรแดงได้ตกลงแต่งตั้งสมเด็จพระนโรดม สีหนุ เป็นประมุขแห่งรัฐแต่ในนาม[232] ซึ่งพระองค์ยังทรงดำรงสถานะนี้ตลอดทั้งปี พ.ศ. 2518[233] เดิมที สมเด็จพระนโรดม สีหนุ ทรงใช้เวลาส่วนใหญ่ที่กรุงปักกิ่งและกรุงเปียงยาง แต่ในเดือนกันยายน เขาได้รับอนุญาตให้เดินทางกลับกัมพูชา[234] พล พต ตระหนักดีว่าหากปล่อยให้พระองค์ประทับอยู่ต่างประเทศต่อไป พระองค์อาจกลายเป็นศูนย์รวมของฝ่ายต่อต้าน ดังนั้น จึงเห็นว่าควรนำพระองค์เข้ามามีบทบาทภายในรัฐบาลเขมรแดงเอง อีกทั้งยังมุ่งหวังที่จะใช้ประโยชน์จากพระเกียรติภูมิของพระองค์ที่มีอยู่ในขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด[235] เมื่อสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ทรงหวนคืนสู่ปิตุภูมิ พระองค์ประทับอยู่ในพระราชวังและได้รับการดูแลเป็นอย่างดี[236] สมเด็จพระนโรดม สีหนุ ยังคงได้รับอนุญาตให้เดินทางไปต่างประเทศ โดยในเดือนตุลาคม ทรงได้ขึ้นกล่าวปราศรัยต่อที่ประชุมใหญ่สหประชาชาติ เพื่อสนับสนุนรัฐบาลกัมพูชาใหม่ และในเดือนพฤศจิกายน ก็ทรงออกเดินทางเยือนนานาประเทศ[237]

กองกำลังทหารของเขมรแดงยังคงแบ่งออกตามเขตพื้นที่การควบคุม และในการสวนสนามทางทหารเมื่อเดือนกรกฎาคม พล พต ได้ประกาศการรวมกองกำลังทั้งหมดอย่างเป็นทางการเป็น "กองทัพปฏิวัติแห่งชาติ" โดยมีซน เซน เป็นผู้บัญชาการสูงสุด[230] แม้ว่าธนบัตรชุดใหม่ของกัมพูชาจะได้รับการจัดพิมพ์ในประเทศจีนตั้งแต่ช่วงสงครามกลางเมือง แต่เขมรแดงก็ตัดสินใจไม่ประกาศใช้ ในการประชุมใหญ่คณะกรรมการกลางที่จัดขึ้น ณ กรุงพนมเปญในเดือนกันยายน มีมติว่าการใช้เงินตราจะนำไปสู่การทุจริตและบั่นทอนความพยายามในการสถาปนาสังคมนิยม[238] ด้วยเหตุนี้ กัมพูชาประชาธิปไตยจึงปราศจากระบบค่าจ้าง[239] มีการคาดหวังให้ประชาชนปฏิบัติตามคำสั่งของเขมรแดงทุกประการโดยไม่รับค่าตอบแทน หากปฏิเสธก็จะเผชิญบทลงโทษ ซึ่งบางครั้งรวมถึงการประหารชีวิต[239] ฟิลิป ชอร์ต ได้อธิบายกัมพูชาสมัยพล พต ว่าเป็น "รัฐทาส" ซึ่งประชาชนถูกบังคับใช้ทำงานโดยปราศจากค่าจ้าง เปรียบเสมือนการตกอยู่ในสภาพทาสอย่างแท้จริง[239] ในการประชุมใหญ่เดือนกันยายน พล พต ยังได้ประกาศให้ชาวนาทุกคนต้องบรรลุเป้าหมายการผลิตข้าวเปลือก 3 ตันต่อเฮกตาร์ ซึ่งมากกว่าผลผลิตเฉลี่ยเดิม[240] อีกทั้งยังประกาศว่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมควรมุ่งเน้นไปที่เครื่องจักรกลการเกษตรขั้นพื้นฐาน และสินค้าอุตสาหกรรมเบา เช่น จักรยาน[241]

การปฏิรูปชนบท

[แก้]

ตั้งแต่ พ.ศ. 2518 เป็นต้นมา ชาวกัมพูชาทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในสหกรณ์ชนบท ซึ่งหมายถึงประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ ได้รับการจัดแบ่งสถานภาพใหม่ให้อยู่ใน 3 กลุ่ม ได้แก่ สมาชิกสิทธิเต็ม สมาชิกผู้สมัคร และผู้ฝากตัวไว้กับสหกรณ์[242] สมาชิกสิทธิเต็มซึ่งส่วนมากเป็นชาวนาผู้ยากจนหรือชนชั้นกลางระดับล่าง มีสิทธิได้รับปันส่วนอาหารเต็มจำนวน สามารถดำรงตำแหน่งทางการเมืองภายในสหกรณ์ และเข้าร่วมทั้งกองทัพและพรรคคอมมิวนิสต์ได้[242] ส่วนสมาชิกผู้สมัครยังคงสามารถดำรงตำแหน่งทางปกครองระดับล่างได้[242] การบังคับใช้ระบบสามส่วนนี้ไม่เป็นไปอย่างเสมอภาคทั่วประเทศ หากแต่นำไปใช้ในแต่ละพื้นที่ไม่พร้อมกัน[242] ในทางปฏิบัติ การแบ่งแยกทางสังคมพื้นฐานยังคงอยู่ระหว่าง "ประชาชนฐานราก" กับ "ประชาชนใหม่"[242] อย่างไรก็ดี มิใช่ความตั้งใจของพล พต และพรรคที่จะกำจัด "ประชาชนใหม่" ทั้งหมด แม้กลุ่มดังกล่าวจะได้รับการปฏิบัติอย่างรุนแรงอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งได้ทำให้นักวิชาการบางส่วนเชื่อว่ารัฐบาลมีเจตนาจะทำลายล้าง[242] แต่แท้จริงแล้ว พล พต ประสงค์จะเพิ่มจำนวนประชากรของประเทศขึ้นเป็น 2 หรือ 3 เท่า โดยคาดหวังว่าประชากรจะขยายตัวไปถึง 15 ถึง 20 ล้านคนภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งทศวรรษ[243]

ภายในสหกรณ์หมู่บ้าน กองกำลังติดอาวุธเขมรแดงได้สังหารชาวกัมพูชาที่พวกเขามองว่าเป็น "องค์ประกอบอันเลวร้าย" อยู่เป็นประจำ[244] ถ้อยคำที่เขมรแดงมักกล่าวแก่ผู้ที่ถูกประหาร คือ "เก็บคุณไว้ก็ไม่มีประโยชน์ ทำลายคุณไปก็ไม่มีความเสียหาย"[245] ร่างของผู้ถูกสังหารมักฝังไว้ตามทุ่งนาเพื่อให้เป็นปุ๋ยบำรุงดิน[244] ในช่วงปีแรกแห่งการปกครองของเขมรแดง พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศยังคงสามารถหลีกเลี่ยงภาวะอดอยากได้ แม้จะมีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นอย่างมากจากการอพยพผู้คนออกจากเมืองก็ตาม อย่างไรก็ตาม ก็มีข้อยกเว้นในบางพื้นที่ เช่น เขตตะวันตกเฉียงเหนือ และพื้นที่ด้านตะวันตกของจังหวัดกำปงฉนัง ซึ่งได้เกิดภาวะอดอยากขึ้นใน พ.ศ. 2518[246]

คณะกรรมการถาวรชุดใหม่มีคำสั่งให้ประชาชนทำงานติดต่อกันเป็นเวลา 10 วัน และหยุดพักเพียง 1 วัน ซึ่งเป็นระบบที่จำลองมาจากที่ใช้หลังการปฏิวัติฝรั่งเศส[243] ได้มีมาตรการชี้นำความคิดแก่ผู้ที่อาศัยอยู่ในสหกรณ์ โดยกำหนดถ้อยคำตายตัวเกี่ยวกับการทำงานหนักและความรักชาติกัมพูชา เผยแพร่ผ่านทางเครื่องกระจายเสียงหรือวิทยุ[247] นอกจากนี้ ยังมีการบัญญัติศัพท์ใหม่และปรับเปลี่ยนถ้อยคำในชีวิตประจำวัน เพื่อปลูกฝังแนวคิดแบบรวมหมู่ โดยส่งเสริมให้ชาวกัมพูชาใช้คำว่า "พวกเรา" ซึ่งเป็นสรรพนามพหูพจน์ แทนที่จะใช้คำว่า "ฉัน" ที่เป็นสรรพนามเอกพจน์[248] ในขณะทำงานในทุ่งนา ประชาชนมักได้รับการแบ่งแยกกันตามเพศสภาพ[249] กีฬาเป็นสิ่งต้องห้าม[249] สื่อสิ่งพิมพ์ที่ประชาชนได้รับอนุญาตให้อ่านได้ มีเพียงสิ่งพิมพ์ที่จัดทำโดยรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนังสือพิมพ์ปฏิวัติ (Padevat) เท่านั้น[249] อีกทั้งยังมีการจำกัดเสรีภาพในการเดินทาง โดยประชาชนจะสามารถเดินทางได้ก็ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่เขมรแดงในท้องถิ่นเท่านั้น[250]

กัมพูชาประชาธิปไตย: พ.ศ. 2519–2522

[แก้]
ธงชาติกัมพูชาประชาธิปไตย

ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2519 ได้มีการประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งระบุว่าประเทศจะเปลี่ยนชื่อเป็น "กัมพูชาประชาธิปไตย"[251] รัฐธรรมนูญฉบับนี้ยืนยันสิทธิในความเป็นเจ้าของของรัฐต่อปัจจัยการผลิต ประกาศความเท่าเทียมระหว่างชายและหญิง รวมทั้งสิทธิและหน้าที่ของประชาชนทุกคนในการทำงาน[251] นอกจากนี้ ยังกำหนดให้ประเทศปกครองโดยคณะผู้บริหารสูงสุด 3 คน โดยในขณะนั้น พล พต และผู้นำเขมรแดงคาดหวังว่าสมเด็จพระนโรดม สีหนุ จะเข้ารับตำแหน่งหนึ่งในสามผู้บริหารสูงสุด[251] อย่างไรก็ตาม พระองค์กลับทรงรู้สึกไม่สบายพระทัยกับรัฐบาลชุดใหม่นี้มากขึ้น และในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2519 ทรงลาออกจากตำแหน่งประมุขของรัฐ แม้พล พต จะพยายามโน้มน้าวพระองค์อย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่สำเร็จที่จะให้พระองค์เปลี่ยนพระทัย[252] สมเด็จพระนโรดม สีหนุ ทรงร้องขออนุญาตเดินทางไปประเทศจีน โดยอ้างเหตุผลเพื่อเข้ารับการรักษาพระพลานามัย แต่คำขอนั้นถูกปฏิเสธ พระองค์จึงทรงประทับอยู่ในพระราชวัง ซึ่งมีเสบียงและสิ่งของเพียงพอให้ทรงดำเนินพระชนม์ชีพอย่างหรูหราตลอดสมัยเขมรแดง[253]

การปลดสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ออกจากตำแหน่งยุติข้ออ้างที่ว่ารัฐบาลเขมรแดงเป็นแนวร่วมที่เป็นเอกภาพ[254] ด้วยการที่สมเด็จพระนโรดม สีหนุ ทรงไม่อยู่ในรัฐบาลอีกต่อไป รัฐบาลพล พต จึงประกาศว่า "การปฏิวัติแห่งชาติ" ได้สิ้นสุดลง และ "การปฏิวัติสังคมนิยม" ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ทำให้ประเทศก้าวสู่ระบอบคอมมิวนิสต์แท้จริงอย่างรวดเร็วที่สุด[255] พล พต กล่าวถึงรัฐใหม่ว่าเป็น "แบบอย่างอันทรงคุณค่าสำหรับมวลมนุษยชาติ" โดยมีจิตวิญญาณปฏิวัติที่เหนือกว่าขบวนการสังคมนิยมปฏิวัติในอดีต[255] ในช่วงทศวรรษ 1970 คอมมิวนิสต์ทั่วโลกอยู่ในจุดที่เข้มแข็งที่สุดในประวัติศาสตร์[256] และพล พต ได้นำตัวอย่างกัมพูชาเสนอเป็นแบบอย่างที่ขบวนการปฏิวัติอื่นควรปฏิบัติตาม[257]

ในฐานะผู้บริหารสูงสุดของคณะใหม่ พล พต ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของประเทศ[258] และในช่วงเวลานี้เองที่เขาใช้นามแฝงว่า "พล พต" อย่างเปิดเผย[258] เนื่องจากไม่มีใครในประเทศรู้จักชื่อดังกล่าว จึงมีการสร้างชีวประวัติเท็จขึ้นมาเพื่อนำเสนอตนเอง[259] พันธมิตรคนสำคัญของพล พต ดำรงตำแหน่งอีก 2 ตำแหน่ง โดยนวน เจีย เป็นประธานคณะกรรมการถาวรของสมัชชาแห่งชาติ และเขียว สัมพัน เป็นประมุขแห่งรัฐ[260] โดยหลักการแล้ว คณะกรรมการถาวรของเขมรแดงตัดสินใจบนพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตยแบบรวมศูนย์[261] แต่ในความเป็นจริงระบบมีความเป็นเผด็จการ โดยการตัดสินใจส่วนมากขึ้นอยู่กับพล พต[261] รัฐสภาที่ได้มีการเลือกตั้งในปีก่อนหน้านั้นไม่เคยจัดการประชุมเลยหลัง พ.ศ. 2519[229] ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2519 พล พต เปิดเผยต่อสาธารณะว่า "อังการ์" หรือ "องค์กร" ซึ่งเป็นองค์กรลับที่มีอำนาจสูงสุด เป็นองค์กรตามแบบลัทธิมากซ์–เลนิน[262] และในเดือนกันยายน พ.ศ. 2520 ที่การชุมนุมในสนามกีฬาโอลิมปิก พล พต ได้เปิดเผยว่า "อังการ์" เป็นนามแฝงของพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา[263] ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2519 มีการประกาศว่า พล พต ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และนวน เจีย จะเข้าดำรงตำแหน่งแทน แต่ในความเป็นจริงเขายังคงอยู่ในอำนาจ และกลับมาดำรงตำแหน่งเดิมในเดือนตุลาคม[264] ซึ่งอาจเป็นยุทธวิธีเบี่ยงเบนความสนใจจากรัฐบาลเวียดนาม ขณะเดียวกันพล พต กำลังกำจัดสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาที่เขาสงสัยว่ามีแนวโน้มสนับสนุนเวียดนาม[265] แม้เขมรแดงจะอ้างตนเป็นผู้นิยมลัทธิ–เลนิน แต่กลับพยายามทำลายชนชั้นแรงงาน เนื่องจากถือว่าเป็น "ซากปรักหักพังอันเสื่อมทรามในอดีต"[266] นอกจากนี้ ใน พ.ศ. 2520 เขมรแดงยังสละแนวคิดคอมมิวนิสต์ โดยเอียง ซารี กล่าวว่า "เราไม่ใช่คอมมิวนิสต์ ... เราเป็นนักปฏิวัติ [ซึ่งไม่ได้เป็น] ซี่งอยู่ในกลุ่มคอมมิวนิสต์อินโดจีนที่เป็นที่ยอมรับทั่วไป"[267]

มาตรฐานการปฏิวัติ [บอลเชวิค] เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2460 มีความสูงส่งเป็นอย่างมาก แต่ครุชชอฟกับดึงสิ่งนั้นลงมา มาตรฐานการปฏิวัติ [จีน] ของเหมาใน พ.ศ. 2492 ยังคงสูงส่งมาจนถึงปัจจุบัน แต่ได้จางลงและเริ่มสั่นคลอน ไม่มั่นคงเช่นเดิม ส่วนมาตรฐานการปฏิวัติ [กัมพูชา] เมื่อวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2518 ซึ่งสหายพล พต ยกขึ้นมาให้สูงส่งนั้น เป็นดั่งแสงสีแดงอันเจิดจ้า เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น มั่นคงและชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง ทั้งโลกชื่นชมเรา สรรเสริญเรา และเรียนรู้จากเรา

— พล พต[268]

มีการเรียกประชากรกัมพูชาอย่างเป็นทางการว่า "ชาวกัมพูชา" แทนที่จำใช้คำว่า "ชาวเขมร" เพื่อหลีกเลี่ยงการเจาะจงชาติพันธุ์ที่เกี่ยวข้องกับคำหลัง[269] ภาษาเขมรที่รัฐบาลเรียกว่า "ภาษากัมพูชา" เป็นภาษาที่ได้รับการรับรองทางกฎหมายเพียงภาษาเดียว และกลุ่มชนชาวเขมรเชื้อสายจีนไม่สามารถใช้ภาษาจีนที่พวกเขาใช้กันทั่วไปได้[249] นอกจากนี้ ยังมีการกดดันชาวจามให้ปรับตัวกลมกลืนเข้ากับวัฒนธรรมประชากรเขมรกลุ่มใหญ่[249]

พล พต ริเริ่มโครงการชลประทานขนาดใหญ่ทั่วประเทศ[270] เช่น ในเขตตะวันออกได้มีการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่[270] แต่กระนั้น โครงการชลประทานจำนวนมากประสบความล้มเหลวมเนื่องจากขาดความชำนาญทางเทคนิคของแรงงาน[270]

คณะกรรมการถาวรเห็นชอบให้รวมหมู่บ้านหลายแห่งเข้าด้วยกันเป็นสหกรณ์ขนาด 500 ถึง 1,000 ครัวเรือน โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างหน่วยคอมมูนขนาดใหญ่ซึ่งมีขนาดเป็น 2 เท่าของสหกรณ์เหล่านี้ต่อไป[229] รวมถึงยังมีการจัดตั้งครัวรวมเพื่อให้สมาชิกทุกคนในคอมมูนมารับประทานอาหารร่วมกัน แทนที่จะรับประทานอาหารในบ้านของตนเอง[271] มีการสั่งห้ามการหาอาหารหรือล่าสัตว์ เพราะถือเป็นพฤติกรรมแบบเฉพาะบุคคล[272] นับตั้งแต่ฤดูร้อน พ.ศ. 2519 รัฐบาลสั่งให้เด็กที่มีอายุมากกว่า 7 ปี อาศัยอยู่ร่วมกันแบบคอมมูนกับครูของเขมรแดง แทนที่จะอยู่กับพ่อแม่[273] สหกรณ์ผลิตอาหารได้น้อยกว่าที่รัฐบาลคาดคิด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแรงจูงใจของแรงงานต่ำ และแรงงานที่แข็งแรงที่สุดถูกส่งไปทำงานในโครงการชลประทาน[274] เจ้าหน้าที่พรรคจำนวนมากอ้างว่าตนสามารถผลิตอาหารตามเป้าหมายของรัฐบาลได้เพื่อหลีกเลี่ยงคำวิจารณ์[275] ซึ่งรัฐบาลก็รับทราบเรื่องนี้ และจนถึงปลาย พ.ศ. 2519 พล พต จึงออกมายอมรับว่ามีปัญหาการขาดแคลนอาหารในพื้นที่สามในสี่ของประเทศ[275]

สมาชิกเขมรแดงได้รับสิทธิพิเศษที่ประชาชนทั่วไปไม่ได้รับ โดยสมาชิกพรรคได้รับอาหารที่ดีกว่า[276] ขณะที่แกนนำบางคนสามารถเข้าถึงซ่องลับ[277] สมาชิกคณะกรรมการกลางสามารถเดินทางไปประเทศจีนเพื่อรับการรักษาสุขภาพ[278] และสมาชิกระดับสูงสุดของพรรคสามารถบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือยนำเข้าได้[272]

การกวาดล้างและประหารชีวิต

[แก้]

เขมรแดงได้แบ่งแยกประชาชนตามศาสนาและชาติพันธุ์ ภายใต้การนำของพล พต เขมรแดงได้ประกาศนโยบายไม่เชื่อในพระเจ้าของรัฐ[279] โดยมองพระภิกษุว่าเป็นปรสิตทางสังคมและได้กำหนดให้อยู่ใน "ชนชั้นพิเศษ" หนึ่งปีภายหลังชัยชนะของเขมรแดงในสงครามกลางเมือง พระภิกษุทั่วประเทศถูกส่งไปใช้แรงงานทั่วไปในสหกรณ์ชนบทและโครงการชลประทาน[249]แม้เขมรแดงจะมีแนวคิดที่ปฏิเสธสัญลักษณ์และสถาบันดั้งเดิม แต่โบราณสถานหลายแห่งยังคงไม่ถูกทำลาย[280] รัฐบาลพล พต ยังคงถือเอาอาณาจักรเมืองพระนครเป็นจุดอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ เช่นเดียวกับรัฐบาลก่อนหน้า[214]

อย่างไรก็ตาม มีการลุกฮือประปรายต่อต้านรัฐบาลพล พต รวมถึงผู้บัญชาการเขมรแดงเขตตะวันตกหรือเกาะกง พร้อมผู้ติดตาม เริ่มเปิดการโจมตีเป้าหมายของรัฐบาลตามแนวชายแดนไทยในระดับย่อย[281] นอกจากนี้ ยังเกิดกบฏในหมู่บ้านชาวจามหลายแห่ง[281] ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2519 เกิดเหตุระเบิดทำลายคลังอาวุธที่จังหวัดเสียมราฐ ซึ่งพล พต สงสัยว่านายทหารระดับสูงมีส่วนเกี่ยวข้อง แม้ไม่มีหลักฐานยืนยัน แต่เขายังคงสั่งจับกุมนายทหารจำนวนมาก[282]

โรงเรียนต็วลแซลง หรือเรือนจำความมั่นคงที่ 21 ที่ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นศัตรูของรัฐบาลถูกทรมานและสังหาร

ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2519 สมาชิกพรรคหลายคนถูกจับกุมและถูกกล่าวหาว่าสมคบคิดกับเวียดนามเพื่อโค่นล้มรัฐบาลพล พต[283] ตลอดหลายเดือนถัดมา จำนวนผู้ถูกจับกุมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลสร้างข้อกล่าวหาเรื่องความพยายามลอบสังหารแกนนำระดับสูงขึ้นมา เพื่อใช้เป็นเหตุผลในการปราบปรามภายในพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา[284] มีการปรักปรำสมาชิกพรรคว่าเป็นสายลับให้แก่ซีไอเอเคจีบีของสหภาพโซเวียต หรือเวียดนาม[285] สมาชิกพรรตได้รับแรงกดดันให้รับสารภาพต่อข้อกล่าวหา โดยมักเผชิญกับการทรมานหรือการข่มขู่จะทรมาน ซึ่งคำสารภาพเหล่านี้จะมีการนำไปอ่านในที่ประชุมพรรค[286]นอกจากพื้นที่รอบกรุงพนมเปญแล้ว แกนนำพรรคที่ได้รับความไว้วางใจยังถูกส่งไปตามภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศเพื่อเริ่มต้นการกวาดล้างสมาชิกพรรคเพิ่มเติม[287]

เขมรแดงได้ดัดแปลงอาคารโรงเรียนมัธยมที่ถูกทิ้งร้างในเขตต็วลแซลง กรุงพนมเปญ ให้เป็นเรือนจำความมั่นคงซึ่งรู้จักกันในชื่อ "เอส-21" โดยอยู่ในความรับผิดชอบของซน เซน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม[288] จำนวนผู้ถูกจองจำในเรือนจำเอส-21 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามกระบวนการกวาดล้างภายในพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา โดยในช่วงครึ่งแรกของ พ.ศ. 2519 มีผู้ถูกจองจำประมาณ 400 คน ส่วนครึ่งหลังของปีนั้นเพิ่มขึ้นเกือบ 1,000 คน จนกระทั่งถึงฤดูใบไม้ผลิ พ.ศ. 2520 มีผู้ถูกจองจำถึงเดือนละราว 1,000 คน[289] ตลอดระยะเวลาที่เขมรแดงปกครอง มีผู้ถูกสังหารที่เรือนจำเอส-21 ประมาณ 15,000–20,000 คน[289] ในจำนวนนี้มีชาวตะวันตกประมาณสิบกว่าคน[290] พล พต ไม่เคยมาเยี่ยมเยือนเรือนจำเอส-21 ด้วยตนเองเลย[291]

ตั้งแต่ปลาย พ.ศ. 2519 เป็นต้นมา โดยเฉพาะช่วงกลาง พ.ศ. 2520 ความรุนแรงในกัมพูชาประชาธิปไตยทวีความรุนแรงขึ้น โดยปรากฏอย่างชัดเจนในระดับหมู่บ้าน[292] ในพื้นที่ชนบท แกนนำเยาวชนจำนวนมากเป็นผู้ลงมือสังหารประชาชน เนื่องจากเชื่อว่ากำลังปฏิบัติตามเจตจำนงของรัฐบาล[293] แกนนำชาวนาทำการทรมานและสังหารสมาชิกในชุมชนของตนเองที่ไม่ชอบใจ หลายครั้งแกนนำได้กินตับของผู้ถูกสังหาร และผ่าทารกออกจากครรภ์มารดาเพื่อนำไปใช้เป็นเครื่องรางกูนกร็อก[291]แกนนำส่วนกลางของพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาทราบถึงพฤติกรรมเหล่านี้ แต่ไม่ดำเนินการเพื่อยุติใด ๆ[291] ใน พ.ศ. 2520 ความรุนแรงที่ก่อตัวมากขึ้น ประกอบกับสภาวะอาหารขาดแคลน สร้างความสิ้นหวังแม้แต่ในกลุ่มมวลชนหลักที่เคยสนับสนุนเขมรแดง[291] จำนวนชาวกัมพูชาที่พยายามหลบหนีเข้าสู่ประเทศไทยและเวียดนามจึงเพิ่มขึ้น[294] ในฤดูใบไม้ร่วงปีเดียวกัน พล พต ประกาศว่าการกวาดล้างสิ้นสุดลงแล้ว[295] ตามการประมาณของพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาเอง ภายในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2520 มีการสังหารสมาชิกพรรคประมาณ 4,000 ถึง 5,000 คน เนื่องจากเป็น "สายลับศัตรู" หรือ "บุคคลอันตราย"[295]

ใน พ.ศ. 2521 รัฐบาลเริ่มต้นการกวาดล้างครั้งที่สอง ซึ่งมีการกล่าวหาและสังหารชาวกัมพูชาหลายหมื่นคนว่าเป็นผู้ฝักใฝ่เวียดนาม[296] โดยในช่วงเวลานี้ เขมรแดงกำจัดสมาชิกพรรคที่เหลืออยู่ซึ่งเคยพำนักที่ฮานอย รวมทั้งบุตรหลานของพวกเขาทั้งหมด[297] ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2521 พล พต ได้ประกาศให้สหายร่วมพรรคใช้คำขวัญว่า "ชำระล้างพรรค! ชำระล้างกองทัพ! ชำระล้างแกนนำ!"[298]

ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

[แก้]
พล พต พบกับนีกอลาเอ ชาวูเชสกู ผู้นำคอมมิวนิสต์โรมาเนีย ระหว่างการเยือนกัมพูชาใน พ.ศ. 2521

ในเชิงภาพลักษณ์ ความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชากับเวียดนามค่อนข้างอบอุ่นภายหลังการสถาปนากัมพูชาประชาธิปไตย และหลังจากเวียดนามรวมประเทศสำเร็จในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2519 รัฐบาลกัมพูชาได้ส่งสารแสดงความยินดี[299] แต่โดยลับหลังแล้ว ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศกลับเริ่มเสื่อมถอยลง โดยในสุนทรพจน์วาระครบรอบหนึ่งปีแห่งชัยชนะในสงครามกลางเมือง เขียว สัมพัน ได้เรียกเวียดนามว่าเป็นพวกจักรวรรดินิยม[300] ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2519 มีการเจรจาเพื่อกำหนดพรมแดนอย่างเป็นทางการระหว่างสองประเทศ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ[300]

เมื่อเขมรแดงขึ้นสู่อำนาจ ก็ได้ปฏิเสธการพึ่งพารัฐตะวันตกและสหภาพโซเวียต[301] แต่หันไปพึ่งพาจีนในฐานะพันธมิตรระหว่างประเทศหลักแทน[302] เนื่องจากเวียดนามเริ่มใกล้ชิดกับสหภาพโซเวียตมากกว่าจีน รัฐบาลจีนมองว่ารัฐบาลพล พต เป็นปราการต้านอิทธิพลของเวียดนามในอินโดจีน[303] เหมา เจ๋อตง ให้คำมั่นว่าจะมอบความช่วยเหลือทางทหารและเศรษฐกิจแก่กัมพูชามูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมทั้งเงินสนับสนุนทันที 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[304] นอกจากนี้ ยังส่งที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญทางทหารชาวจีนหลายพันคนเข้ามาช่วยเหลือโครงการต่าง ๆ เช่น การก่อสร้างท่าอากาศยานทหารกำปงฉนัง[305]อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลจีนกับกัมพูชายังเต็มไปด้วยความหวาดระแวงซึ่งกันและกัน จีนแทบไม่มีอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบายภายในประเทศของพล พต[306] แต่กลับมีอิทธิพลต่อการดำเนินนโยบายระหว่างประเทศของกัมพูชา โดยผลักดันให้ประเทศหันมาสานสัมพันธ์กับไทย และเปิดการสื่อสารกับสหรัฐอเมริกาเพื่อใช้เป็นกลยุทธ์ต่อต้านอิทธิพลของเวียดนามในภูมิภาค[307]

หลังการถึงแก่อสัญกรรมของเหมา เจ๋อตง ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2519 พล พต ได้กล่าวยกย่องเหมา และรัฐบาลกัมพูชาประกาศไว้ทุกข์อย่างเป็นทางการ[262] ในเดือนพฤศจิกายน ปีเดียวกัน พล พต ได้เดินทางอย่างลับ ๆ ไปยังกรุงปักกิ่งเพื่อธำรงพันธมิตรกับจีน ภายหลังการจับกุมแก๊งสี่คน[265] จากนั้นเจ้าหน้าที่จีนพาเขาไปเยี่ยมชมสถานที่ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเหมาและพรรคคอมมิวนิสต์จีน[308] จีนเป็นประเทศเดียวที่ยังคงได้รับอนุญาตให้ใช้สถานเอกอัครราชทูตเดิมในกรุงพนมเปญ[251] ส่วนคณะทูตประเทศอื่นได้รับการจัดให้อยู่อาศัยในเขตที่กำหนดไว้บริเวณถนนมุนีวงศ์ ซึ่งมีการปิดกั้นเส้นทาง และห้ามนักการทูตออกไปโดยปราศจากเจ้าหน้าที่คุ้มกัน จะมีการนำอาหารมาส่งถึงที่พำนัก และจัดหาผ่านร้านค้าแห่งเดียวที่ยังคงเปิดทำการในประเทศ[309] พล พต มองว่าเขมรแดงควรเป็นต้นแบบให้กับขบวนการปฏิวัติในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เขาจึงสร้างความสัมพันธ์กับผู้นำลัทธิมากซ์จากพม่า อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย โดยอนุญาตให้กลุ่มคอมมิวนิสต์ไทยตั้งฐานที่มั่นตามแนวชายแดนกัมพูชา–ไทย[256] ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2520เนวี่น ประธานาธิบดีพม่า เป็นหัวหน้ารัฐบาลต่างประเทศคนแรกที่เดินทางเยือนกัมพูชาประชาธิปไตย และต่อมาไม่นานนีกอลาเอ ชาวูเชสกู ประธานาธิบดีโรมาเนีย ก็ได้เดินทางมาเยือนเช่นกัน[310]

จำนวนผู้เสียชีวิต

[แก้]
กะโหลกศีรษะของเหยื่อที่เขมรแดงสังหาร
หลุมศพรวมที่เจิงเอก

เบน เคียร์แนน ประมาณการว่ามีชาวกัมพูชาเสียชีวิตจากนโยบายของเขมรแดงราว 1.671 ถึง 1.871 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 21 ถึง 24 ของประชากรกัมพูชาใน พ.ศ. 2518[311] มาแร็ก สลีวินสกี นักประชากรศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ได้ศึกษาคำนวณและพบว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างผิดธรรมชาติเกือบ 2 ล้านคน จากประชากรทั้งหมด 7.8 ล้านคนในปีเดียวกัน โดยมีผู้ชายเสียชีวิตร้อยละ 33.5 ขณะที่ผู้หญิงเสียชีวิตร้อยละ 15.7[312] งานวิชาการที่ตีพิมพ์ใน พ.ศ. 2544 ระบุว่าตัวเลขที่วงวิชาการยอมรับมากที่สุดเกี่ยวกับผู้เสียชีวิตเกินปกติในยุคเขมรแดงอยู่ระหว่าง 1.5 ถึง 2 ล้านคน แม้บางการประมาณจะต่ำเพียง 1 ล้านคน หรือสูงถึง 3 ล้านคน โดยจำนวนผู้เสียชีวิตจากการประหารชีวิตของเขมรแดงที่ยอมรับกันทั่วไปอยู่ในช่วง 500,000 ถึง 1 ล้านคน หรือประมาณ "หนึ่งในสามถึงครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมดในช่วงเวลาดังกล่าว"[313] อย่างไรก็ตาม แหล่งข้อมูลทางวิชาการเมื่อ พ.ศ. 2556 (อ้างอิงจากงานวิจัยเมื่อ พ.ศ. 2552) ชี้ให้เห็นว่าการประหารชีวิตอาจคิดเป็นสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 60 ของยอดรวมทั้งหมด โดยพบหลุมศพรวมจำนวน 23,745 หลุม ซึ่งเชื่อว่ามีผู้ถูกสังหารราว 1.3 ล้านคน[314]

แม้ว่าตัวเลขการประหารชีวิตจะสูงกว่าการประมาณที่แพร่หลายและเป็นที่ยอมรับในระยะก่อน แต่เคร็ก เอตเชอสัน จากศูนย์เอกสารกัมพูชา (Documentation Center of Cambodia) ได้ออกมาปกป้องการประมาณดังกล่าวว่า "มีความเป็นไปได้ เนื่องจากลักษณะของหลุมศพรวมและวิธีการของศูนย์เอกสารมีแนวโน้มที่จะนับศพต่ำกว่าความเป็นจริงมากกว่าการประมาณเกินจริง"[315] นักประชากรศาสตร์ แพทริก ฮิวเวลีน ประมาณการว่ามีชาวกัมพูชาเสียชีวิตอย่างผิดธรรมชาติระหว่าง พ.ศ. 2513–2522 ราว 1.17 ถึง 3.42 ล้านคน โดยในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิตจากสงครามกลางเมืองระหว่าง 150,000–300,000 คน ตัวเลขประมาณการหลักของเขาคือผู้เสียชีวิตส่วนเกิน 2.52 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนั้นราว 1.4 ล้านคน เสียชีวิตจากความรุนแรงโดยตรง[313][315] อย่างไรก็ดี ตัวเลข 3.3 ล้านคน ที่เผยแพร่โดยสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชา ซึ่งเป็นรัฐบาลสืบทอดอำนาจจากเขมรแดง แม้จะอ้างอิงจากการสำรวจแบบบ้านต่อบ้าน แต่โดยทั่วไปแล้วถือว่าเป็นข้อมูลเกินจริง ทั้งนี้ เนื่องจากข้อผิดพลาดเชิงวิธีการหลายประการ เช่น การที่เจ้าหน้าที่สาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชานำจำนวนศพที่ประเมินจากหลุมศพรวมที่ถูกขุดขึ้นเพียงบางส่วนมาบวกเข้ากับผลสำรวจ ทำให้เกิดการนับเหยื่อซ้ำบางราย[315]

นอกจากนี้ ยังมีการประมาณว่า ชาวกัมพูชาราว 300,000 คน เสียชีวิตจากความอดอยากในช่วง พ.ศ. 2522–2523 ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องโดยตรงจากนโยบายของเขมรแดง[316]

การล่มสลายของกัมพูชาประชาธิปไตย

[แก้]

ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2519 ที่ประชุมใหญ่ประจำปีของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาได้เสนอให้ประเทศเตรียมพร้อมต่อสงครามกับเวียดนามที่อาจเกิดขึ้น[308] พล พต เชื่อว่าเวียดนามมีความมุ่งหมายในการขยายอำนาจและเป็นภัยคุกคามต่อเอกราชของกัมพูชา[317] ช่วงต้น พ.ศ. 2520 การปะทะบริเวณชายแดนระหว่างกัมพูชากับเวียดนามปะทุขึ้นอีกครั้งและดำเนินต่อไปจนถึงเดือนเมษายน[294] โดยเมื่อวันที่ 30 เมษายน กองกำลังกัมพูชาพร้อมการสนับสนุนจากปืนใหญ่ ได้บุกเข้าไปในเวียดนามและโจมตีหมู่บ้านหลายแห่ง ส่งผลให้พลเรือนเวียดนามหลายร้อยคนต้องเสียชีวิตจากการสังหาร[294] เวียดนามจึงตอบโต้ด้วยการสั่งกองทัพอากาศทิ้งระเบิดใส่ฐานที่มั่นชายแดนของกัมพูชา[294] ไม่กี่เดือนต่อมา การสู้รบกลับมาดำเนินอีกครั้ง โดยในเดือนกันยายน กองพล 2 กอง จากเขตตะวันออกของกัมพูชาบุกเข้าสู่จังหวัดเต็ยนิญของเวียดนาม และโจมตีหมู่บ้านหลายแห่งพร้อมสังหารชาวบ้านอย่างโหดร้าย[318] ในเดือนเดียวกัน พล พต ได้เดินทางไปยังกรุงปักกิ่ง และจากนั้นไปต่อยังเกาหลีเหนือ ซึ่งคิม อิล-ซ็อง ได้กล่าวแสดงท่าทีต่อต้านเวียดนาม เพื่อแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับเขมรแดง[319]

รูปปั้นครึ่งตัวของพล พต ที่สร้างขึ้นด้วยความคาดหมายในการสร้างลัทธิบูชาบุคคล ซึ่งท้ายที่สุดแล้วก็ไม่เคยนำมาปฏิบัติจริง รูปปั้นดังกล่าวได้รับการจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ต็วลแซลง

ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2520 เวียดนามส่งกำลังทหาร 50,000 นาย ข้ามพรมแดนตามแนวระยะทาง 100 ไมล์ ลึกเข้ามาในกัมพูชาราว 12 ไมล์[320] ภายหลังกัมพูชาจึงประกาศตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับเวียดนามอย่างเป็นทางการ[321] กองทัพกัมพูชาตอบโต้การรุกราน จนกระทั่งกองทัพเวียดนามถอยกลับไปเมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2521[322] ขณะนี้ พล พต สั่งการให้กองทัพกัมพูชาดำเนินท่าทีเชิงรุกและโจมตีเวียดนามก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามมีโอกาสลงมือก่อน[323] ในช่วงเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2521 กองทัพกัมพูชาได้เปิดการโจมตีหมู่บ้านหลายแห่งในเวียดนาม[324]โปลิตบูโรเวียดนามจึงมีความเห็นตรงกันว่า ไม่อาจปล่อยให้พล พต คงอำนาจต่อไป แต่จำเป็นต้องโค่นล้มเขาก่อนที่กองทัพกัมพูชาจะเสริมกำลังเข้มแข็งยิ่งขึ้น[322] ในปีเดียวกันนั้น เวียดนามได้จัดตั้งค่ายฝึกทหารสำหรับผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชาในเวียดนามตอนใต้ เพื่อสร้างแกนกลางสำหรับระบอบการปกครองใหม่ในอนาคต[325] ในเวลาเดียวกัน รัฐบาลกัมพูชาได้เตรียมความพร้อมเข้าสู่ภาวะสงคราม โดยวางแผนสร้างลัทธิบูชาบุคคลที่ยึดพล พต เป็นศูนย์กลาง ตามแบบอย่างจีนและเกาหลีเหนือ โดยเชื่อว่าการสร้างลัทธิดังกล่าวจะช่วยหลอมรวมประชาชนให้เป็นหนึ่งเดียวในยามสงคราม[326] เริ่มมีการนำภาพถ่ายขนาดใหญ่ของพล พต ไปติดตั้งในห้องอาหารส่วนกลาง[327] ขณะที่มีการสร้างภาพเขียนสีน้ำมันและประติมากรรมครึ่งตัวของเขา[328] อย่างไรก็ตาม แผนการสร้างลัทธิดังกล่าวไม่เคยนำมาปฏิบัติ[310]

ความล้มเหลวของกองทัพกัมพูชาในเขตตะวันออกต่อการรุกรานของเวียดนาม ทำให้พล พต เริ่มสงสัยในความภักดีของทหารเหล่านั้น[297] เขาจึงสั่งการกวาดล้างเขตตะวันออก โดยส่งแกนนำพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชามากกว่า 400 คน ไปยังเรือนจำเอส-21[329] เมื่อทหารจำนวนมากในเขตตะวันออกทราบแน่นอนแล้วว่าตนจะถูกประหารตามคำสั่งของพล พต ทหารเหล่านี้จึงเริ่มก่อกบฏต่อต้านรัฐบาลเขมรแดง[330] พล พต จึงส่งกำลังเพิ่มเติมเข้าสู่เขตตะวันออกเพื่อปราบปราม พร้อมสั่งให้สังหารชาวบ้านในทุกหมู่บ้านที่อาจสงสัยว่ามีส่วนให้ที่พักพิงแก่กองกำลังกบฏ[330] ฟิลิป ชอร์ต กล่าวว่า การปราบปรามในเขตตะวันออกครั้งนี้ถือเป็น "เหตุการณ์ที่นองเลือดที่สุดภายใต้การปกครองของพล พต"[330] ผู้นำกบฏหลายคน เช่นเฮง สัมริน และพล ซาเรือน จึงหลบหนีการไล่ล่าของรัฐบาลเข้าสู่เวียดนาม และเข้าร่วมกับชุมชนผู้ลี้ภัยต่อต้านพล พต[330] ตลอดเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2521 พล พต ยังคงไว้วางใจเพียงกองกำลังของตา ม็อก ในเขตตะวันตกเฉียงใต้ และของป็วกในเขตตอนกลางเท่านั้น[331]

เมื่อต้น พ.ศ. 2521 รัฐบาลพล พต เริ่มพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย เพื่อเสริมความมั่นคงของตนเองในการต่อสู้กับเวียดนาม[332] รัฐบาลหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่างแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อสถานการณ์ของกัมพูชา เนื่องจากเกรงผลกระทบจากการขยายอำนาจของเวียดนามและอิทธิพลของสหภาพโซเวียตต่อประเทศของตน[333] แม้จีนจะสนับสนุนกัมพูชา แต่รัฐบาลจีนตัดสินใจไม่ส่งกองทัพเข้ามายังกัมพูชา เพราะเกรงว่าการเผชิญหน้าครั้งใหญ่กับเวียดนามอาจนำไปสู่สงครามกับสหภาพโซเวียต[334] ในขณะเดียวกัน เวียดนามกำลังวางแผนการรุกรานครั้งใหญ่ต่อกัมพูชา[335] และในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2521 ได้มีการก่อตั้ง "แนวร่วมสามัคคีสงเคราะห์ชาติกัมพูชา" ซึ่งประกอบด้วยผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชา โดยมีเป้าหมายจะนำมาแทนที่ระบอบเขมรแดง ในระยะแรก แนวร่วมดังกล่าวมีเฮง สัมริน เป็นผู้นำ[336] ด้วยความหวั่นเกรงต่อภัยคุกคามจากเวียดนาม พล พต จึงเขียนเอกสารต่อต้านเวียดนามที่มีชื่อว่า "เอกสารดำ"[331]

ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2521 พล พต เริ่มหันไปสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสมเด็จพระนโรดม สีหนุ โดยหวังว่าพระองค์จะเป็นศูนย์รวมในการระดมการสนับสนุนรัฐบาลเขมรแดง[337] ในเดือนเดียวกันนั้น พล พต เดินทางไปยังประเทศจีนเพื่อพบกับเติ้ง เสี่ยวผิง[338] เติ้งได้ประณามการรุกรานของเวียดนาม แต่ก็ชี้ว่าความขัดแย้งส่วนหนึ่งเกิดจากการที่เขมรแดงใช้นโยบายที่รุนแรงเกินไป และปล่อยให้กองทัพกัมพูชามีพฤติกรรมอย่างไร้ระเบียบตามแนวชายแดนกับเวียดนาม[323] เมื่อเดินทางกลับกัมพูชาในเดือนตุลาคม พล พต จึงสั่งให้กองทัพเปลี่ยนยุทธวิธี โดยหันมาใช้แนวทางตั้งรับ วางทุ่นระเบิดเป็นจำนวนมากเพื่อสกัดกั้นการรุกของเวียดนาม อีกทั้งย้ำให้กองทัพหลีกเลี่ยงการปะทะโดยตรงซึ่งจะทำให้สูญเสียหนัก และหันไปใช้สงครามกองโจรแทน[339] ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2521 พรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาได้จัดการประชุมใหญ่ครั้งที่ห้า โดยมีการแต่งตั้งตา ม็อก ให้ดำรงตำแหน่งลำดับที่สามของรัฐบาล รองจากพล พต และนวน เจีย[340] ไม่นานหลังจากการประชุม สมาชิกระดับสูงสองคนของรัฐบาล ได้แก่ วอน เวต และกง โสพาล ก็ถูกจับกุมและส่งไปยัง เรือนจำเอส-21 ซึ่งนำไปสู่การกวาดล้างครั้งใหม่อีกระลอก[340]

การบุกครองของเวียดนาม: พ.ศ. 2521–2522

[แก้]

เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2521 กองทัพเวียดนามเปิดฉากการบุกครองครั้งใหญ่[341] กำลังรบของเวียดนามเคลื่อนพลเข้าสู่กัมพูชาทางตะวันออกเฉียงเหนือ ยึดครองจังหวัดกระแจะเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม และจังหวัดสตึงแตรงเมื่อวันที่ 3 มกราคม[341] ต่อมาเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2522 กำลังหลักของเวียดนามเข้าสู่กัมพูชา โดยเคลื่อนพลไปตามทางหลวงหมายเลข 1 และหมายเลข 7 มุ่งหน้าสู่กรุงพนมเปญ[341] กองกำลังแนวหน้าของกัมพูชาไม่สามารถต้านทานได้[342] เมื่อการโจมตีกรุงพนมเปญใกล้เข้ามา พล พต จึงสั่งให้สมเด็จพระนโรดม สีหนุ และพระบรมวงศานุวงศ์เสด็จย้ายไปยังประเทศไทยในเดือนมกราคม[343] และคณะทูตทั้งหมดก็อพยพตามไปในเวลาไม่นานต่อมาเมื่อวันที่ 7 มกราคม พล พต และผู้นำระดับสูงคนอื่น ๆ ได้ออกจากกรุงพนมเปญไปยังจังหวัดโพธิสัตว์[344] ก่อนจะย้ายต่อไปยังจังหวัดพระตะบองหลังจากพำนักอยู่สองวัน[345]

หลังจากเขมรแดงอพยพออกจากกรุงพนมเปญ ตา ม็อก กลายเป็นผู้นำระดับสูงเพียงคนเดียวที่ยังคงอยู่ในเมือง โดยได้รับมอบหมายให้ดูแลการป้องกัน[344] นวน เจีย มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ควบคุมเรือนจำเอส-21 สังหารผู้ถูกคุมขังที่เหลือทั้งหมดก่อนที่กองทัพเวียดนามจะเข้ายึด[346] แต่กองกำลังที่ป้องกันกรุงพนมเปญไม่ทราบว่ากองทัพเวียดนามอยู่ใกล้เพียงใด[346] รัฐบาลได้ปกปิดความจริงเกี่ยวกับชัยชนะของเวียดนามจากประชาชน[347] เมื่อเวียดนามรุกคืบเข้ามา เจ้าหน้าที่และทหารจำนวนมากละทิ้งเมืองหลวง การป้องกันจึงเต็มไปด้วยความโกลาหล[348] ขณะเดียวกันก็มีกรณีชาวบ้านบางแห่งลุกขึ้นมาสังหารเจ้าหน้าที่เขมรแดงเพื่อล้างแค้น[349] ในเดือนมกราคม เวียดนามได้จัดตั้งรัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของเฮง สัมริน ซึ่งประกอบด้วยอดีตสมาชิกเขมรแดงที่หลบหนีการกวาดล้างเข้ามายังเวียดนาม[350] รัฐบาลใหม่นี้ได้เปลี่ยนชื่อประเทศเป็น "สาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชา"[351] แม้ชาวกัมพูชาจำนวนมากจะต้อนรับกองทัพเวียดนามในฐานะผู้ปลดปล่อยในระยะแรก แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความไม่พอใจต่อกองทัพผู้ยึดครองก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น[350]

เขมรแดงหันไปพึ่งพาจีนเพื่อขอการสนับสนุนในการต่อต้านการบุกครอง เอียง ซารี เดินทางไปประเทศจีนผ่านทางประเทศไทย[345] โดยเติ้ง เสี่ยวผิง ได้กระตุ้นให้เขมรแดงทำสงครามกองโจรต่อสู้กับเวียดนาม และจัดตั้งแนวร่วมที่ไม่จำกัดอยู่เพียงคอมมิวนิสต์ โดยให้สมเด็จพระนโรดม สีหนุ มีบทบาทสำคัญ[352] จีนส่งเกิ่ง เปียว รองนายกรัฐมนตรี เดินทางมาประเทศไทยเพื่อเจรจาการขนส่งอาวุธให้เขมรแดงผ่านดินแดนไทย[353] อีกทั้งยังส่งคณะทูตไปประจำอยู่ในค่ายของเขมรแดงบริเวณชายแดนไทย พล พต ได้พบกับคณะทูตดังกล่าวสองครั้ง ก่อนที่รัฐบาลจีนจะเรียกกลับในเดือนมีนาคมเพื่อความปลอดภัย[354] เขมรแดงยังได้ตั้งสถานีวิทยุ "เสียงแห่งกัมพูชาประชาธิปไตย" ในประเทศจีน ซึ่งกลายเป็นช่องทางสื่อสารหลักกับประชาคมโลก[345] ในเดือนกุมภาพันธ์จีนเปิดฉากโจมตีเวียดนามทางตอนเหนือ เพื่อดึงกองทัพเวียดนามออกจากการบุกครองกัมพูชา[355] นอกจากจีนแล้ว เขมรแดงยังได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกาและประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่ที่มิใช่คอมมิวนิสต์ ซึ่งต่างหวั่นเกรงว่าการรุกรานของเวียดนามจะกลายเป็นเครื่องมือขยายอิทธิพลของสหภาพโซเวียตในภูมิภาค[356]

เมื่อวันที่ 15 มกราคม กองทัพเวียดนามเข้าถึงเมืองศรีโสภณ[353] พล พต, นวน เจีย, และเขียว สัมพัน จึงเดินทางต่อไปยังจังหวัดไพลินทางฝั่งไทย และในช่วงปลายเดือนมกราคมก็ย้ายไปยังเมืองตาสัญ ซึ่งเอียง ซารี ได้มาร่วมด้วย ต่อมาเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ มีการประชุมคณะกรรมการกลาง และตัดสินใจไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำของเติ้งในการจัดตั้งแนวร่วม[356] ในช่วงครึ่งหลังของเดือนมีนาคม กองทัพเวียดนามเคลื่อนกำลังเข้าล้อมเขมรแดงตามแนวชายแดนไทย ซึ่งกองกำลังจำนวนมากของพล พต ได้ล่าถอยเข้ามาในดินแดนไทย[357] จากนั้นกองทัพเวียดนามก็รุกเข้ายึดเมืองตาสัญ ซึ่งบรรดาผู้นำเขมรแดงเพิ่งอพยพออกไปได้เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า[358]

ชีวิตภายหลังกัมพูชาประชาธิปไตย

[แก้]

การต่อสู้กับเวียดนาม: พ.ศ. 2522–2532

[แก้]
ใน พ.ศ. 2522 เขียว สัมพัน (ถ่ายเมื่อ พ.ศ. 2554) ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกัมพูชาประชาธิปไตยแทนพล พต

ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2522 พล พต ได้จัดตั้งกองบัญชาการใหม่ชื่อ "สำนักงาน 131" บริเวณเชิงเขาพนมธมด้านตะวันตก[359] เขายกเลิกการใช้ชื่อ "พล พต" และเริ่มเรียกตนเองว่า "แปม"[359] ต่อมาในเดือนกันยายน พ.ศ. 2522 เขียว สัมพัน ประกาศว่าเขมรแดงจะจัดตั้งแนวร่วมสามัคคีใหม่ใช้ชื่อว่า "แนวร่วมประชาธิปไตยรักชาติ" เพื่อรวบรวมชาวกัมพูชาทุกฝ่ายที่ต่อต้านการยึดครองของเวียดนาม[360] สมาชิกระดับสูงของเขมรแดงเริ่มปฏิเสธแนวคิดสังคมนิยม[361] เหล่าสมาชิกเลิกสวมชุดดำ ขณะที่พล พต เองก็เริ่มสวมเครื่องแบบสีเขียวป่า และภายหลังเปลี่ยนเป็นชุดซาฟารีที่ผลิตในประเทศไทย[361] ฟิลิป ชอร์ต มองว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางอุดมการณ์ของเขมรแดงอย่างสิ้นเชิง[361] ในเดือนตุลาคม พล พต สั่งยุติการประหารชีวิต และคำสั่งนี้ส่วนใหญ่ได้รับการปฏิบัติตาม[361] ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2522สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ลงมติรับรองคณะผู้แทนเขมรแดง แทนที่จะเป็นคณะผู้แทนของรัฐบาลที่เวียดนามหนุนหลัง ให้เป็นรัฐบาลที่ชอบธรรมของกัมพูชา[362] ในเดือนธันวาคม เขียว สัมพัน ได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกัมพูชาประชาธิปไตยแทนพล พต ซึ่งทำให้พล พต สามารถมุ่งความสนใจไปที่การทำสงคราม และอาจมีจุดประสงค์เพื่อปรับภาพลักษณ์ของเขมรแดงให้ดีขึ้นด้วย[363]

ในช่วงฤดูมรสุมฤดูร้อน พ.ศ. 2522 กองกำลังเขมรแดงเริ่มทยอยกลับเข้าสู่กัมพูชา[359] ชาวกัมพูชาหนุ่มสาวจำนวนมากเข้าร่วมกับเขมรแดง โดยมีเป้าหมายที่จะขับไล่กองทัพเวียดนามออกไป[364] ด้วยความช่วยเหลือด้านอาวุธและเสบียงจากจีน เขมรแดงจึงสามารถสร้างโครงสร้างทางทหารขึ้นมาใหม่ในช่วงต้น พ.ศ. 2523[364] และในช่วงกลางปีเดียวกัน เขมรแดงอ้างว่ามีกำลังพลที่ปฏิบัติการอยู่ในกัมพูชาถึง 40,000 นาย[364] นับตั้งแต่ พ.ศ. 2524 เป็นต้นมา เป้าหมายหลักของพล พต คือการสร้างความนิยมและการสนับสนุนจากประชาชนชาวกัมพูชา โดยเชื่อว่านี่เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้สามารถเอาชนะสงครามได้[365] ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2524 เขาได้เดินทางไปยังกรุงปักกิ่งผ่านกรุงเทพมหานคร เพื่อพบกับเติ้ง เสี่ยวผิง และจ้าว จื่อหยาง[366] ทั้งนี้ เติ้งได้ผลักดันให้สมเด็จพระนโรดม สีหนุ ซึ่งพำนักอยู่ที่กรุงเปียงยาง ขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขแห่งรัฐกัมพูชา ซึ่งพระองค์ทรงยอมรับอย่างไม่เต็มพระทัยตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2524[367] ต่อมาในเดือนกันยายน พ.ศ. 2524 สมเด็จพระนโรดม สีหนุ, เขียว สัมพัน, และซอน ซาน ได้ออกแถลงการณ์ร่วมกันที่ประเทศสิงคโปร์ ประกาศการจัดตั้งรัฐบาลผสมของพวกเขาเอง[368]

ข้าพเจ้าอายุชราภาพและพิการมากแล้ว ข้าพเจ้าทราบดีว่าผู้คนภายในกัมพูชาต่างหวาดกลัวข้าพเจ้า ดังนั้น เมื่อเราขับไล่ชาวเวียดนามที่น่ารังเกียจออกไปและได้มาซึ่งสันติภาพ ข้าพเจ้าจะเกษียณหากเหล่าสหายปรารถนาเช่นนั้น แต่หากข้าพเจ้ากลับไปในเวลานี้และเหล่าสหายไม่สามารถขับไล่พวกเวียดนามได้ ข้าพเจ้าจะอยู่นิ่งได้อย่างไร ข้าพเจ้าจำต้องถ่ายทอดประสบการณ์และความรู้ของตน หากพวกเวียดนามถอนกำลังออกไปและเราสามารถปกป้องประเทศของเราได้ ข้าพเจ้าจะ …เกษียณ และเมื่อข้าพเจ้าจากไป ข้าพเจ้าจะสิ้นชีพอย่างสงบ

— พล พต กล่าวเมื่อ พ.ศ. 2530[369]

ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2524 พล พต และนวน เจีย ตัดสินใจยุบพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นโดยแทบไม่มีการหารือกับสมาชิกพรรค ซึ่งบางคนรู้สึกตกใจต่อประกาศดังกล่าว[370] นักวิเคราะห์จำนวนมากเชื่อว่านี่เป็นเพียงแผนหลอกลวง และแท้จริงแล้วพรรคกำลังกลับไปดำเนินงานใต้ดินอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ชอร์ตระบุว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ข้อเท็จจริง[368] พล พต เสนอให้จัดตั้งขบวนการชาตินิยมขึ้นมาแทนที่พรรคคอมมิวนิสต์ แต่ก็ไม่สามารถก่อรูปขึ้นได้อย่างสมบูรณ์[368] พล พต เสนอให้จัดตั้งขบวนการชาตินิยมขึ้นมาแทนที่พรรคคอมมิวนิสต์ แต่ก็ไม่สามารถก่อรูปขึ้นได้อย่างสมบูรณ์ ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการทหารแทนที่คณะกรรมการถาวรพรรค ซึ่งมุ่งเน้นการทำสงครามเพื่อขับไล่เวียดนามออกจากกัมพูชา[371] การตัดสินใจยุบพรรคครั้งนี้มีปัจจัยจากสถานการณ์การเมืองโลก ในขณะที่กองทัพต่อต้านเวียดนามของเขาได้รับการสนับสนุนจากหลายประเทศฝ่ายทุนนิยม กองทัพเวียดนามกลับได้รับการสนับสนุนจากประเทศคอมมิวนิสต์จำนวนมาก ขณะเดียวกัน เขายังมองว่าจีน ซึ่งถือเป็นผู้สนับสนุนหลักของตนเอง ก็กำลังฟื้นฟูระบบทุนนิยมภายใต้การปฏิรูปของเติ้ง เสี่ยวผิง[365] การเปลี่ยนแปลงทางอุดมการณ์ยังสะท้อนให้เห็นในนโยบายของเขมรแดง เช่น การยุติระบบการรับประทานอาหารร่วมกัน การยกเลิกข้อห้ามเกี่ยวกับการครอบครองทรัพย์สินส่วนตัว และการอนุญาตให้บุตรกลับมาอยู่กับผู้ปกครอง[372] พล พต กล่าวว่าการบริหารประเทศในอดีตของเขานั้นเอนเอียงไปทางซ้ายมากเกินไป และยอมรับว่าเกิดความผิดพลาดเพราะเขาไว้ใจบุคคลรอบตัวที่ไม่ซื่อสัตย์มากเกินไป[372]

ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2525 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เขมรแดงได้เข้าร่วมกับฝ่ายการเมืองอื่น ๆ และประกาศจัดตั้งรัฏฐาภิบาลผสมกัมพูชาประชาธิปไตยขึ้นมาเป็นรัฐบาลคู่ขนานเพื่อต่อต้านฝ่ายบริหารที่กรุงพนมเปญ[373] อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติความร่วมมือทางการทหารระหว่างฝ่ายต่าง ๆ ซึ่งประกอบด้วยเขมรแดง กองทัพแห่งชาติฝ่ายนิยมสมเด็จพระนโรดม สีหนุ และแนวร่วมปลดปล่อยชาติเขมรของซอน ซาน ยังมีอยู่น้อยมากใน พ.ศ. 2526 พล พต เดินทางไปกรุงเทพมหานครเพื่อตรวจสุขภาพ และได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮอด์จกิน[374] ช่วงกลาง พ.ศ. 2527 มีการย้ายสำนักงาน 131 ไปยังฐานที่มั่นแห่งใหม่ภายในกัมพูชา ใกล้แม่น้ำโอซัวสาดี[374] แต่ในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน กองทัพเวียดนามได้เปิดการโจมตีครั้งใหญ่ กวาดล้างฐานที่มั่นของเขมรแดงในกัมพูชาและบีบให้พล พต ถอยกลับเข้าสู่เขตประเทศไทย โดยได้จัดตั้งฐานที่มั่นใหม่ชื่อว่า "เค-18" บริเวณใกล้กับจังหวัดตราด[375]

ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2528 พล พต ลาออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดกองกำลังเขมรแดง และมอบตำแหน่งให้แก่ซน เซน แต่เขายังคงมีอิทธิพลอย่างมากอยู่เช่นเดิม[376] ในฤดูร้อนปีนั้น เขาแต่งงานกับหญิงสาวที่มีนามว่า เมีย ซน และในฤดูใบไม้ผลิปีถัดมา ทั้งคู่มีบุตรสาวชื่อ "สีตา"[376] หลังจากนั้นเขาเดินทางไปปักกิ่งเพื่อรับการรักษาโรคมะเร็งในโรงพยาบาลทหาร และกลับมากัมพูชาอีกครั้งในฤดูร้อน พ.ศ. 2531[377] ในปีเดียวกันนั้นเอง กลุ่มต่อต้านเวียดนามได้เข้าสู่การเจรจากับรัฐบาลพนมเปญ[378] แต่พล พต เห็นว่าเป็นการกระทำที่เร็วเกินไป เพราะเขากังวลว่ากองกำลังเขมรแดงยังไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนมากพอที่จะสร้างความได้เปรียบอย่างมีนัยสำคัญหากมีการเลือกตั้งหลังสงคราม[379]

การล่มสลายของเขมรแดง: พ.ศ. 2533–2541

[แก้]

การล่มสลายของกำแพงเบอร์ลินและการสิ้นสุดของสงครามเย็นส่งผลกระทบต่อกัมพูชา เมื่อสหภาพโซเวียตไม่เป็นภัยคุกคามอีกต่อไป สหรัฐอเมริกาและพันธมิตรจึงไม่มองว่าการครอบงำกัมพูชาของเวียดนามเป็นปัญหาอีกต่อไป ณ สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ สหรัฐอเมริกาได้ประกาศยุติการรับรองรัฏฐาภิบาลผสมกัมพูชาประชาธิปไตยในฐานะรัฐบาลกัมพูชาที่ชอบธรรม[380] ในเดือนมิถุนายน ฝ่ายการเมืองกัมพูชาหลายฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยให้องค์การสหประชาชาติเข้ามากำกับดูแล พร้อมทั้งจัดตั้งสภาสูงสุดแห่งชาติเพื่อดำเนินการสู่การเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย[381] พล พต ยอมรับเงื่อนไขดังกล่าว เพราะเกรงว่าหากปฏิเสธ ฝ่ายการเมืองอื่นทั้งหมดจะรวมตัวกันต่อต้านเขมรแดง[381] ในเดือนพฤศจิกายน สมเด็จพระนโรดม สีหนุ เสด็จกลับสู่กัมพูชา[381] พระองค์ทรงยกย่องฮุน เซน ผู้นำที่เวียดนามสนับสนุน และทรงประกาศว่าควรนำตัวผู้นำเขมรแดงขึ้นศาลเพื่อพิจารณาคดีในความผิดที่ก่อขึ้น[382] ต่อมา เมื่อเขียว สัมพัน เดินทางถึงกรุงพนมเปญพร้อมคณะผู้แทนเขมรแดง ฝูงชนได้ทำร้ายเขาอย่างรุนแรง[382]

พล พต จัดตั้งกองบัญชาการแห่งใหม่ตามแนวชายแดน ใกล้กับจังหวัดไพลิน[382] พร้อมทั้งเรียกร้องให้เขมรแดงทุ่มเทความพยายามมากขึ้นในการสร้างแรงสนับสนุนจากหมู่บ้านต่าง ๆ ทั่วกัมพูชา[383] ในเดือนมิถุนายน เขียว สัมพัน ประกาศว่ากองกำลังของตนจะไม่ยอมปลดอาวุธ อันเป็นการละเมิดข้อตกลงก่อนหน้านี้ โดยให้เหตุผลว่าจะไม่ยอมทำเช่นนั้นตราบใดที่ทหารเวียดนามยังคงอยู่ในกัมพูชา[384] เขมรแดงจึงยิ่งแสดงท่าทีแข็งกร้าวและขยายอำนาจครอบครองพื้นที่กัมพูชาฝั่งตะวันตก[384]พร้อมทั้งก่อการสังหารหมู่ชาวเวียดนามที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ดังกล่าว[384] ขณะเดียวกัน กองกำลังของฮุน เซน ก็ยังคงเคลื่อนไหวทางทหาร โดยที่เจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพของสหประชาชาติไม่อาจยับยั้งความรุนแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพ[384]ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2536 สมเด็จพระนโรดม สีหนุ เสด็จกลับไปยังกรุงปักกิ่ง พร้อมประกาศว่ากัมพูชายังไม่พร้อมสำหรับการเลือกตั้ง[384] ขณะที่เขมรแดงได้ก่อตั้งพรรคใหม่ในนาม "พรรคสามัคคีชาติกัมพูชา" เพื่อใช้เป็นช่องทางเข้าสู่สนามเลือกตั้ง แต่ในเดือนมีนาคม พล พต กลับประกาศว่าพวกเขาจะคว่ำบาตรการเลือกตั้ง[385] จากนั้น เขาได้ย้ายกองบัญชาการไปยังพนมชัต โดยมีเขียว สัมพัน เข้าร่วมหลังจากที่ถอนคณะผู้แทนเขมรแดงออกจากกรุงพนมเปญ[386]

ในการเลือกตั้งเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2536พรรคฟุนซินเปกของสมเด็จกรมพระนโรดม รณฤทธิ์ ได้ที่นั่งในรัฐสภา 58 ที่นั่ง จากทั้งหมด 120 ที่นั่ง ขณะที่พรรคประชาชนกัมพูชาของฮุน เซน ได้รับคะแนนเป็นอันดับสอง ฮุน เซน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากเวียดนาม ปฏิเสธที่จะยอมรับความพ่ายแพ้[386] สมเด็จพระนโรดม สีหนุ จึงทรงเข้ามาไกล่เกลี่ยและจัดตั้งรัฐบาลผสมระหว่างสองพรรค โดยกำหนดระบบใหม่ที่ให้กัมพูชามีนายกรัฐมนตรีสองคน ได้แก่ สมเด็จกรมพระนโรดม รณฤทธิ์ และฮุน เซน[386] จากนั้น กองทัพแห่งชาติกัมพูชาที่เพิ่งก่อตั้งใหม่ได้เปิดฉากโจมตีเขมรแดง และในเดือนสิงหาคมสามารถยึดพนมชัตได้ ทำให้พล พต หลบหนีไปยังประเทศไทย[387] เขมรแดงโต้กลับด้วยการเปิดฉากโจมตีอีกครั้ง และสามารถยึดคืนดินแดนส่วนใหญ่ที่สูญเสียไปได้ภายในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2537[387] อย่างไรก็ตาม พล พต ต้องย้ายฐานที่มั่นไปยังอำเภออ็อนลวงแวง แต่เมื่อกองทัพแห่งชาติยึดพื้นที่ดังกล่าวได้ในปีเดียวกัน เขาจึงย้ายไปตั้งฐานที่มั่นที่เขากบาลอ็อนซวง บริเวณสันเขาพนมดงรัก[388] ถึงกระนั้น เขมรแดงก็ยังเผชิญกับปัญหาการแปรพักตร์ของสมาชิกในระดับที่เพิ่มมากขึ้นตลอดครึ่งแรกของทศวรรษ 1990[389]

พล พต หันกลับมาให้ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเขตควบคุมของเขมรแดงดำเนินชีวิตเลียนแบบชาวนาในชนบทที่ยากจนที่สุดอีกครั้งหนึ่ง และใน พ.ศ. 2537 เขาได้ออกคำสั่งยึดยานพาหนะส่วนบุคคลทั้งหมด รวมถึงสั่งยุติการค้าข้ามพรมแดนกับประเทศไทย[389] ในเดือนกันยายน ปีเดียวกัน เขาได้ออกคำสั่งประหารชีวิตชาวอังกฤษ ชาวฝรั่งเศส และชาวออสเตรเลีย ซึ่งถูกจับกุมระหว่างการโจมตีขบวนรถไฟโดยกองกำลังเขมรแดง[390] ต่อมาในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2539 เกิดกบฏภายในเขมรแดง และในเดือนสิงหาคมได้มีการประกาศว่า เอียง ซารี, ยี เชียน, และซก เพียบ ได้แยกตัวออกจากขบวนการ พร้อมนำทหารที่ภักดีต่อพวกตนออกไป ส่งผลให้กำลังพลของเขมรแดงลดลงไปราว 4,000 นาย หรือเกือบครึ่งหนึ่งของกองกำลังทั้งหมดในขณะนั้น[391] เมื่อสิ้นปี พ.ศ. 2539 เขมรแดงสูญเสียพื้นที่เกือบทั้งหมดที่เคยครอบครองในกัมพูชาตอนใน เหลือเพียงพื้นที่ยาวไม่กี่ร้อยกิโลเมตรตามแนวชายแดนทิศเหนือ[391] พล พต ถึงกับกล่าวกับผู้ช่วยของตนว่า "พวกเราเหมือนปลาติดแห พวกเราไม่อาจอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้นาน"[391] สุขภาพของเขาทรุดหนัก เขาป่วยด้วยภาวะลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบ และไม่สามารถเข้ารับการรักษาโรคมะเร็งได้อย่างต่อเนื่อง[389] อีกทั้งยังประสบกับโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งทำให้ร่างกายซีกซ้ายเป็นอัมพาต[389]และในที่สุดเขาต้องพึ่งพาออกซิเจนในการดำเนินชีวิตไปแต่ละวัน[392] เขาจึงใช้เวลาส่วนใหญ่กับครอบครัว โดยเฉพาะกับบุตรสาวของเขา[389]

การจำคุกและเสียชีวิต: พ.ศ. 2540–2541

[แก้]
หลุมศพพล พต ที่อำเภออ็อนลวงแวงจังหวัดอุดรมีชัย

พล พต เริ่มหวาดระแวงซน เซน และในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2540 เขาจึงสั่งสังหารซน เซน ส่งผลให้กองกำลังเขมรแดงสังหารซน เซน พร้อมสมาชิกครอบครัวและผู้ติดตามอีก 13 คน ต่อมา พล พต อ้างว่าเขาไม่ได้อนุมัติการสังหารดังกล่าวทั้งหมด[393] ตา ม็อก กังวลว่า พล พต อาจหันมาเล่นงานตนเช่นกัน เขาจึงรวบรวมกองกำลังที่ภักดีในอำเภออ็อนลวงแวง และประกาศว่าพล พต ได้ทรยศต่อขบวนการ แล้วจึงเคลื่อนทัพไปยังเขากบาลอ็อนซวง[393] ด้วยความหวาดกลัวต่อกองกำลังของตา ม็อก เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน พล พต พร้อมครอบครัวและผู้คุ้มกันบางส่วนได้หลบหนีด้วยการเดินเท้า และเนื่องจากสุขภาพร่างกายทรุดโทรม เขาจึงต้องถูกหามตลอดการเดินทาง[394] อย่างไรก็ดี กองกำลังของตา ม็อก สามารถจับกุมตัวพวกเขาได้ และพล พต ก็ถูกกักบริเวณภายในบ้าน[395] ขณะที่เขียว สัมพัน และนวน เจีย ตัดสินใจเข้าข้างตา ม็อก[395]

เนท เทเยอร์ นักข่าวชาวอเมริกัน มีโอกาสสัมภาษณ์กับพล พต เป็นครั้งสุดท้ายในช่วงที่เขาถูกกักบริเวณภายในบ้าน พล พต กล่าวว่า "ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของตนยังบริสุทธิ์" แต่ก็ยอมรับว่ามีความผิดพลาดเกิดขึ้น และบอกกับเทเยอร์ว่า "ฉันอยากให้คุณรู้ว่าทุกสิ่งที่ฉันทํา ฉันทําเพื่อประเทศของฉัน"[396] เขายังปฏิเสธแนวคิดที่ว่ามีผู้เสียชีวิตนับล้าน โดยกล่าวว่า "การบอกว่ามีคนนับล้านตายมันมากเกินไป" และ "คุณก็รู้ว่าสำหรับคนอื่น ๆ ทารกหรือเด็ก ๆ ผมไม่ได้สั่งให้ฆ่าพวกเขา"[397][398]

ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม พล พต และผู้บัญชาการเขมรแดงอีกสามคนที่ยังภักดีต่อเขาถูกนำตัวขึ้นต่อหน้าที่ประชุมใหญ่ โดยเทเยอร์ได้รับเชิญให้บันทึกภาพเหตุการณ์[395] เขมรแดงตัดสินโทษพล พต ให้จำคุกตลอดชีวิต ส่วนผู้บัญชาการอีกสามคนถูกตัดสินประหารชีวิต[399] สามเดือนต่อมา ตา ม็อก อนุญาตให้เทเยอร์เข้าเยี่ยมและสัมภาษณ์พล พต อีกครั้ง[399]

เมื่อวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2541 พล พต เสียชีวิตขณะหลับด้วยอาการหัวใจล้มเหลว[399] เทเยอร์ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ อ้างว่าพล พต ฆ่าตัวตายหลังจากทราบแผนของตา ม็อก ที่จะส่งตัวเขาให้กับสหรัฐอเมริกา โดยกล่าวว่า "พล พต เสียชีวิตหลังรับประทานยาที่ผสมแวเลียมกับคลอโรควินเกินขนาด"[400][401][402] มีการเก็บรักษาร่างของเขาด้วยน้ำแข็ง หลังจากการดองศพด้วยฟอร์มาลดีไฮด์ล้มเหลว เพื่อให้ผู้สื่อข่าวที่มาร่วมงานศพสามารถยืนยันการเสียชีวิตได้[399][403][404][405] สามวันต่อมา ภรรยาของเขาประกอบพิธีฌาปนกิจด้วยการเผาบนกองยางรถยนต์และขยะตามแบบพิธีศพทางศาสนาพุทธ[399]

ต่อมาในเดือนพฤษภาคม ภรรยาม่ายของพล พต และเทพ คุณนาล ได้หลบหนีไปยังมาเลเซียและสมรสกัน[406][407] เขมรแดงเองยังคงสูญเสียพื้นที่ให้กับกองทัพกัมพูชา และในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2542 ตา ม็อก ก็ถูกจับกุม ทำให้เขมรแดงสิ้นสภาพลงอย่างถาวร[406]

อัฐิของพล พต ถูกฝังไว้ในหลุมศพเล็ก ๆ ที่หมู่บ้านโชมแสงามจังหวัดอุดรมีชัย หลุมศพมีหลังคาสังกะสีคลุมและล้อมด้วยรั้วเล็ก ๆ[408]

อุดมการณ์ทางการเมือง

[แก้]
เป้าหมายของพล พต คือการผลักดันประเทศให้ดำดิ่งสู่ห้วงเพลิงแห่งการเปลี่ยนแปลงเชิงปฏิวัติ ซึ่งแน่นอนว่าแนวคิดเก่าและผู้ที่ปฏิเสธจะละทิ้งแนวคิดเหล่านั้นจะต้องมอดไหม้ไป แต่จากเพลิงนั้น กัมพูชาจะฟื้นขึ้นมาอย่างเข้มแข็งและบริสุทธิ์ พร้อมได้รับการยกย่องให้เป็นต้นแบบแห่งคุณธรรมแบบคอมมิวนิสต์

— นักข่าว ฟิลิป ชอร์ต เมื่อ พ.ศ. 2547[213]

ชอร์ตกล่าวว่าแก่นความคิดทางหลักการของเขมรแดง คือ "ไปไกลเกินไปดีกว่าไปไม่ถึง" ซึ่งเป็นแนวทาง "ที่อยู่เบื้องหลังการทำละเมิดจำนวนมาก" ในช่วงการปกครองของเขมรแดง[409] ภายในขบวนการเอง มีการใช้ความหิวโหย การอดหลับอดนอน และการใช้แรงงานหนักเป็นเวลานานในค่ายฝึก เพื่อเพิ่มแรงกดดันทั้งร่างกายและจิตใจ ทำให้การปลูกฝังแนวคิดเกิดได้ง่ายขึ้น[410] ชอร์ตให้ความเห็นว่า "ไม่มีพรรคคอมมิวนิสต์ใด" ในประวัติศาสตร์ที่ "พยายามปรับเปลี่ยนความคิดสมาชิกโดยตรงอย่างสุดโต่งเช่นนี้"[410]

ในช่วงทศวรรษ 1980 พล พต ยุบพรรคคอมมิวนิสต์ของตนเพื่อสร้างภาพลักษณ์ใหม่ที่ดูดีขึ้น และเนื่องจากฐานสนับสนุนส่วนใหญ่ของเขามาจากประเทศทุนนิยม[365] เขามักกล่าวว่า "เราเลือกคอมมิวนิสต์เพราะอยากฟื้นฟูชาติของเรา เราเคยช่วยเวียดนามที่เป็นคอมมิวนิสต์เหมือนกัน แต่ตอนนี้คอมมิวนิสต์กลับมาสู้กับเรา ดังนั้นเราต้องหันไปพึ่งตะวันตกและเดินตามวิถีของพวกเขา"[365] ด้วยท่าทีเช่นนี้ของพล พต ชอร์ตจึงชี้ให้เห็นว่า "ฉากหน้าของลัทธิมากซ์-เลนินที่เคยปิดบังลัทธิหัวรุนแรงแบบกัมพูชานั้น แท้จริงแล้วเป็นเพียงเปลือกบาง ๆ เท่านั้น"[365] ก่อนเสียชีวิตใน พ.ศ. 2540 พล พต กล่าวทิ้งท้ายว่า "เมื่อฉันตาย ความปรารถนาเดียวของฉัน คือ ให้กัมพูชายังคงเป็นกัมพูชาและอยู่ข้างตะวันตก บัดนี้คอมมิวนิสต์ได้สิ้นสุดแล้ว และฉันอยากย้ำสิ่งนี้ให้ชัดเจน"[411]

พล พต เคยกล่าวว่าเขาได้รับแรงบันดาลใจจากสิ่งที่เกิดขึ้นในอินเดียของคานธีและเนห์รู โดยเล่าว่าตนเริ่มต้นจากการเป็น "นักชาตินิยมและผู้รักชาติ" ก่อนที่จะได้อ่าน "หนังสือหัวก้าวหน้า" และหนังสือพิมพ์ลูมานีเต (L'Humanité) ขณะอยู่ที่ปารีส พล พต ได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับที่มาของมุมมองทางการเมืองของตนไว้ว่า "ฉันไม่อาจบอกคุณได้ว่ามันมาจากแรงบันดาลใจเดียว บางทีมันอาจจะมาจากตรงนี้นิดตรงนั้นหน่อย"[412]

ชอร์ตสังเกตว่าการตัดสินใจทางการเมืองในกัมพูชาของพล พต นั้น "ไร้ระเบียบ" ไม่เหมือนกับกระบวนการรวมศูนย์ที่ชัดเจนและเป็นระเบียบเช่นเดียวกับรัฐคอมมิวนิสต์อื่น ๆ[413] ภายในพื้นที่กัมพูชาประชาธิปไตย การปฏิบัติตามคำสั่งพล พต ยังมีความแตกต่างกันมากทั้งในระดับภูมิภาคและท้องถิ่น[239]

เติ้ง เสี่ยวผิง วิจารณ์เขมรแดงว่ามี "การเบี่ยงเบนจากลัทธิมากซ์-เลนิน"[345] ส่วนแอนแวร์ ฮอจา ผู้นำคอมมิวนิสต์แอลเบเนีย เรียกพล พต ว่าเป็น "ฟาสซิสต์ป่าเถื่อน"[414]

วิดีโอหลายคลิปจากแหล่งข้อมูลภายนอก
video iconการนำเสนอโดยฟิลิป ชอร์ต เรื่องพล พต: กายวิภาคของฝันร้าย บันทึกเมื่อวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2548 โดยซี-สแปน

ในเชิงอุดมการณ์ พล พต ได้ตีความบทบาทการปฏิวัติใหม่ โดยไม่ยึดมั่นกับชนกรรมาชีพตามทฤษฎีดั้งเดิม แต่กลับเน้นการสร้าง "พันธมิตรปฏิวัติระหว่างชาวนาและปัญญาชน" ภายใต้ฉากหลังลัทธิมากซ์ที่บางเฉียบเท่านั้น[415]

รัฐบาลพล พต มีความเป็นเผด็จการรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ[416] และเขาเองก็มักได้รับการกล่าวถึงในฐานะผู้นำเผด็จการ[417] พล พต มีความปรารถนาให้กัมพูชาพึ่งตนเองทางเศรษฐกิจอย่างสมบูรณ์[418] ชอร์ตกล่าวว่า พล พต เป็น "กระบอกเสียงที่แท้จริง" สำหรับความปรารถนาของชาวเขมรจำนวนมากที่ถวิลหา "การกลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่" แบบสมัยอาณาจักรพระนคร[419] เช่นเดียวกับเดวิด แชนด์เลอร์ ที่กล่าวว่าพล พต ก็เป็นเหมือนกับผู้นำกัมพูชาคนก่อน ๆ ที่มีความเชื่ออย่างแรงกล้าว่ากัมพูชาบริสุทธิ์กว่าประเทศอื่น ๆ[420]บรรดาแกนนำพรรคต่างรู้สึกเกลียดกลัวต่างชาติ[421] พล พต เน้นย้ำหรือแสดงเป็นนัยอยู่เสมอว่า ชาวกัมพูชาเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่เหนือกว่ากลุ่มชาติพันธุ์หรือชาติอื่นโดยเนื้อแท้ และไม่อาจถูกครอบงำโดยอิทธิพลจากภายนอก[422] ชอร์ตยังชี้ว่า โดยทั่วไปแล้ว เขมรแดงมองชาวต่างชาติเป็นศัตรู โดยในช่วงสงครามกลางเมืองกัมพูชา เขมรแดงสังหารผู้สื่อข่าวต่างชาติหลายคนที่ถูกจับได้ ในขณะที่กลุ่มลัทธิมากซ์เวียดนามมักปล่อยตัวผู้สื่อข่าวเหล่านั้น[150] มีการสั่งห้ามศาสนาพื้นเมืองทั้งหมด เนื่องจากเขมรแดงมุ่งทำลายศาสนาในประเทศโดยสิ้นเชิง[423]

ชีวิตส่วนตัวและอุปนิสัย

[แก้]
ยิ่งทำให้เกิดความสับสนไปอีก เพราะแม้แต่ตัวตนของเขา [พล พต] ก็ยังไม่แน่นอน ในการให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ยูโกสลาเวียใน พ.ศ. 2520 พล พต กล่าวว่าเขาเกิดในครอบครัวชาวนาและยากจน แต่ผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชาในปารีส ลาว ปุก ยืนยันว่าชื่อจริงของพล พต คือ สาฬต สอ และบิดาของเขาเป็นเจ้าของที่ดินซึ่งมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดห่าง ๆ กับราชวงศ์ อีกเรื่องราวหนึ่งระบุว่า พล พต แท้จริงแล้วคือ ตอล สัต นักปฏิวัติที่ได้รับเลือกเข้าสู่ "สภาผู้แทนประชาชน" ของเขมรแดง ณ กรุงพนมเปญ ใน พ.ศ. 2519 เพื่อเพิ่มความลึกลับ ภาพถ่ายของพล พต ก็มีการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์เล็กน้อยไปตามกาลเวลา

— นักข่าว คริสโตเฟอร์ โจนส์ เมื่อ พ.ศ. 2524[10]

เดวิด แชนด์เลอร์ ระบุว่า พล พต เป็นคนกระหายอำนาจ[424] ชอบครุ่นคิดในตนเอง[425] มีความนอบน้อมถ่อมตัว[426] และควบคุมตนเองได้ดี[426] รวมถึงยังได้รับการบรรยายว่าเป็นบุคคลที่มีความสันโดษสูง[4] มีความหลงใหลในเรื่องลี้ลับ[427] และหวาดระแวงภัยจากการลอบสังหารอยู่เสมอ[428] เขามักเป็นผู้ควบคุมทุกอย่างอยู่เสมอ แต่แสร้งทำเหมือนไม่ได้ควบคุมอะไรเลย[429] โดยชอร์ตกล่าวว่า เขา "สนุกกับการทำตัวให้ดูเหมือนว่าไม่ใช่ตนเอง ราวกับคนธรรมดาที่ไม่มีใครจำได้ในฝูงชน"[430]ตลอดเส้นทางทางการเมือง พล พต ใช้นามแฝงเป็นจำนวนมาก ได้แก่ ปุก, เฮย์, พอล, 87, ลุงใหญ่, พี่ชายคนโต, พี่ชายอันดับหนึ่ง, และในช่วงหลังยังใช้นามแฝงว่า 99 และแปม[431] เขาเคยบอกกับเลขานุการว่า "ยิ่งเปลี่ยนชื่อบ่อยเท่าไร ยิ่งเป็นการทำให้ศัตรูสับสน"[431] ในบั้นปลายชีวิต เขาปกปิดและบิดเบือนรายละเอียดหลายประการเกี่ยวกับชีวประวัติของตนเอง[4] เขาไม่เคยอธิบายถึงเหตุผลในการเลือกนามแฝง "พล พต"[165] แม้ว่าใน พ.ศ. 2540วิลเลียม ที. วอลมัน เสนอว่า ชื่อนี้อาจมีที่มาจากวลี "โปลีติกโปเตนซีแยล" (ฝรั่งเศส:politique potentiel) ในภาษาฝรั่งเศส[432]

ตามชีวประวัติอย่างเป็นทางการของพล พต ที่เผยแพร่ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2521 โดยกรมการข่าวสารและสารสนเทศ กระทรวงการต่างประเทศของประชาธิปไตยกัมพูชา พล พต ชอบใช้ชีวิตและทำงานอย่างสงบ มี "จิตวิญญาณแห่งความสามัคคีสูง" แสดงให้เห็นถึง "การมองโลกเชิงบวกแบบปฏิวัติ" และมี "ความเชื่อมั่นอย่างลึกซึ้งและมั่นคงต่อประชาชน มวลชน โดยเฉพาะชาวนาผู้ยากจน"[433] พล พต แสดงบุคลิกที่แชนด์เลอร์เรียกว่า "เสน่ห์แบบสุภาพเรียบร้อย"[434] และที่ชอร์ตพรรณนาว่าเป็น "บุคลิกภาพอันน่าดึงดูด"[435] ในช่วงวัยเยาว์ พี่ชายของเขาเล่าว่า พล พต มีอัธยาศัยอ่อนโยนและใจเย็น ขณะที่เพื่อนร่วมชั้นเรียนจำได้ว่าเขาเป็นนักเรียนธรรมดาแต่เป็นมิตร[434] ส่วนในฐานะครู นักเรียนมองว่าเขามีความใจเย็น ซื่อสัตย์ และมีทักษะโน้มน้าวใจได้ดี[434] มี "นิสัยดีชัดเจนและบุคลิกที่น่าดึงดูด"[101] แชนด์เลอร์ระบุว่าเขามี "ความเป็นกันเอง" ขณะมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน[436] ส่วนชอร์ตระบุว่าการเลี้ยงดูที่หลากหลายและครอบคลุมของพล พต ทำให้เขา "สามารถสื่อสารได้อย่างเป็นธรรมชาติกับผู้คนทุกชนชั้นและสถานะ สร้างความผูกพันโดยสัญชาตญาณที่ทำให้ผู้คนชอบเขา"[437] ผู้สังเกตการณ์หลายคนยังกล่าวถึงรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา[437] เวลาเขาพูดต่อหน้าผู้ชม เขามักถือพัด ซึ่งในวัฒนธรรมกัมพูชามักสื่อถึงความเกี่ยวข้องกับสมณเพศ[255]

พล พต มีน้ำเสียงอ่อนโยน[438] โดยเวลากล่าวแถลงการณ์ เขามักสงบและเยือกเย็น แม้จะใช้ถ้อยคำรุนแรงในการชี้นำทางการเมือง[439] แชนด์เลอร์ระบุว่าเมื่อพบปะผู้คน พล พต จะแสดงท่าที "อบอุ่นอย่างเห็นได้ชัด" และเป็นกล่าวถึงในเรื่อง "การพูดช้า ๆ อย่างรอบคอบ"[440] กง ดวง ผู้ที่เคยร่วมงานกับพล พต ในช่วงทศวรรษ 1980 กล่าวว่าเขาเป็น "ที่ชื่นชอบเป็นอย่างยิ่ง เป็นคนดีจริง ๆ เขาเป็นมิตร และทุกสิ่งที่เขาพูดดูสมเหตุสมผลเสมอ เขาไม่เคยตำหนิหรือดุด่าใครต่อหน้าเลย"[438]

พล พต มีอาการนอนไม่หลับ[150] และเจ็บป่วยบ่อย[428] เขาเคยป่วยด้วยโรคมาลาเรียและโรคทางเดินอาหาร ทำให้เขาต้องเผชิญกับการเจ็บป่วยหลายครั้งต่อปีในช่วงที่อยู่ในอำนาจ[441] นอกจากนี้ เขายังชื่นชอบดนตรีเขมรแบบดั้งเดิม[389] และในวัยเด็กเขามีความสนใจในกวีนิพนธ์ฝรั่งเศสแนวโรแมนติก โดยผลงานของปอล แวร์แลน เป็นหนึ่งในเรื่องโปรดของเขา[32]

แชนด์เลอร์ระบุว่า เจ็ดปีที่พล พต ใช้เวลาอยู่ในค่ายพักแรมในป่าร่วมกับสหายลัทธิมากซ์มีผลอย่างมากต่อโลกทัศน์ของเขา และ "น่าจะยิ่งเสริมสร้างความรู้สึกถึงโชคชะตาและความสำคัญของตนเอง"[442] พล พต มีทัศนคติชาตินิยม และแสดงความสนใจต่อเหตุการณ์นอกกัมพูชาน้อยมาก[425] เขาเป็นคนถือความชอบธรรมในตัวเองสูง[429] และมักปฏิเสธการประนีประนอมหรือความพยายามหาข้อยุติร่วม[443] ชอร์ตกล่าวว่า "พล พต เชื่อว่าเขากำลังกระทำเพื่อประโยชน์สาธารณะ และในไม่ช้าทุกคนจะตระหนักถึงสิ่งนั้น"[444] แชนด์เลอร์ตั้งข้อสังเกตว่าเขามี "แนวโน้ม" แสดงออกด้วยความรุนแรงและการสร้างความหวาดกลัว[429] ชอร์ตให้ความเห็นว่า พล พต และสมาชิกอาวุโสคนอื่น ๆ ของเขมรแดงมีส่วนร่วมในการ "สรรเสริญความรุนแรง" และมองการนองเลือดเป็น "เหตุแห่งความยินดี" สิ่งนี้ทำให้ผู้นำเขมรแดงแตกต่างจากผู้นำขบวนการคอมมิวนิสต์จีนและเวียดนาม ซึ่งมักมองความรุนแรงว่าเป็นความชั่วร้ายที่จำเป็น ไม่ใช่สิ่งที่ควรยินดีด้วยความสุข[445]

พล พต ต้องการให้ผู้ติดตามของเขามี "จิตสำนึกปฏิวัติ" ซึ่งจะทำให้พวกเขาสามารถปฏิบัติการได้โดยไม่ต้องมีคำแนะนำจากเขา และเขามักผิดหวังเมื่อผู้ติดตามไม่มีคุณสมบัตินี้[446] เนื่องจากเขาไม่ไว้วางใจผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างเต็มที่ เขาจึงเข้ามาจัดการรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเหตุการณ์ต่าง ๆ อย่างเข้มงวด เช่น รายการอาหารในการต้อนรับแขกของรัฐ หรือตารางรายการสําหรับการออกอากาศทางวิทยุ[447] แม้ว่าผู้สนับสนุนบางคนต้องการสร้างลัทธิบูชาบุคคลของพล พต เช่นเดียวกับประเทศคอมมิวนิสต์อื่น ๆ แต่สิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นอย่างสำเร็จในกัมพูชา แม้ว่าจะมีการสร้างรูปปั้นและภาพวาดของเขาในช่วงเริ่มสงครามกับเวียดนาม แต่กัมพูชาก็ไม่เคยมีบทเพลงหรือละครเกี่ยวกับเขาเลย ภาพถ่ายของเขาไม่ปรากฏอยู่ในวรรณกรรมของพรรค และไม่มีการตีพิมพ์ "แนวความคิด" ของเขา เหมือนที่ผู้นำประเทศอย่างจีนหรือเกาหลีเหนือได้กระทำ[328] แชนด์เลอร์มองว่าลัทธิบูชาบุคคลนี้ "ไม่เคยจัดเต็มรูปแบบ" ส่วนหนึ่งเพราะ "การโฆษณาตนเองไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพล พต"[327] อีกทั้งอาจสะท้อนถึงความจริงใจในการต่อต้านลัทธิปัจเจกนิยมของเขาด้วย[328]

การรับรู้และสิ่งสืบเนื่อง

[แก้]

มักถูกมองว่าเป็นหนึ่งในผู้นำเผด็จการที่โหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์โลกสมัยใหม่ รัฐบาลของเขาได้ก่อให้เกิดความโหดร้ายทารุณครั้งใหญ่ จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และการปราบปรามในเวลาเดียวกัน บางฝ่ายมองว่าเขาเป็นนักปฏิวัติและบุคคลผู้เปลี่ยนแปลงสังคม เขาต้องการปรับโฉมสังคมกัมพูชาอย่างถึงแก่น แชนด์เลอร์ได้กล่าวถึงพล พต ว่าเป็นหนึ่งใน "ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ของประวัติศาสตร์กัมพูชา" จากความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศอย่างสุดขั้ว[443] ใน พ.ศ. 2522 ชื่อของเขาเป็นที่รู้จักในระดับสากลในฐานะสัญลักษณ์ของการสังหารหมู่และความวุ่นวาย[448] หนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์กไทมส์ได้ระบุข้อความในข่าวการเสียชีวิตของพล พต ว่าเขาเป็นผู้ก่อตั้ง "ระบอบการปกครองที่โหดร้ายและสุดโต่งที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 20"[449] ทั้งบีบีซีนิวส์และนิตยสารไทม์ต่างกล่าวโทษรัฐบาลของเขาว่าเป็นต้นเหตุของ "การสังหารหมู่ที่เลวร้ายที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 20"[450] ใน พ.ศ. 2552ด็อยท์เชอเว็ลเลอระบุว่ารัฐบาลพล พต ได้ริเริ่มหนึ่งใน "การทดลองทางการเมืองที่น่าอับอายที่สุดในโลก"[451] ขณะที่ชอร์ตเรียกเขมรแดงว่าเป็น "ขบวนการปฏิวัติหัวรุนแรงที่สุดในช่วงสมัยใหม่"[389] ใน พ.ศ. 2562 อเล็ก เดอ ยอง นักสังคมนิยมชาวดัตช์ เขียน เขียนลงในนิตยสารสังคมนิยมฌากอแบ็งของสหรัฐ ว่ารัฐบาลพล พต เป็น "ระบอบฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" และชื่อเขมรแดงกลายเป็น "คำพ้องความหมายของการสังหารและการปราบปราม"[452]ชาวกัมพูชาจำนวนมากที่มีชีวิตอยู่ในสมัยเขมรแดงเรียกช่วงเวลานั้นว่า "สมัยอพต" (สมัยของพตผู้ต่ำทราม)[453]

แนวคิดที่ว่าการเสียชีวิตภายใต้รัฐบาลพล พต ควรพิจารณาว่าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ได้รับการเสนอครั้งแรกโดยรัฐบาลเวียดนามใน พ.ศ. 2522 หลังมีการเปิดเผยการสังหารผู้จองจำที่เรือนจำต็วลแซลง[454] สาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชาที่ได้รับการสนับสนุนจากเวียดนามเปิดเรือนจำนี้ให้ประชาชนเข้าชมในฐานะ "พิพิธภัณฑ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์"[293] ชอร์ตได้โต้แย้งว่า แม้รัฐบาลพล พต จะต้องรับผิดชอบต่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติอย่างชัดเจน แต่การกล่าวหาเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด เพราะรัฐบาลนี้ไม่เคยพยายามกำจัดประชากรทั้งหมด[454]

แชนด์เลอร์กล่าวว่าแม้ "การปฏิวัติกัมพูชา" ภายใต้พล พต จะทำให้มี "ผู้เสียชีวิตหลายล้านคน" แต่ก็มีผู้ได้รับประโยชน์บางส่วน[293] ผู้ที่ได้รับอำนาจจากรัฐบาลเขมรแดง "อาจเชื่อ" ในคำกล่าวของพล พต เกี่ยวกับการสร้างสังคมนิยมหรือ "เสแสร้งอย่างจริงจังว่าพวกเขาเชื่อ"[455] แชนด์เลอร์ยังกล่าวต่อว่า ผู้สนับสนุนพล พต เชื่อว่า "กลยุทธ์และยุทธวิธีที่รอบคอบของเขาได้ชิงอำนาจจากสหรัฐอเมริกาและพวกหุ่นเชิดศักดินา" และว่าเขาได้ "ขจัดศัตรูออกจากพรรค ส่งเสริมความระมัดระวัง สร้างพันธมิตรกับจีน และวางแผนสี่ปีได้สำเร็จ"[327] ระหว่างสงครามกับเวียดนาม ชาวกัมพูชาหลายคนเคารพกองกำลังเขมรแดงของพล พต ในฐานะนักชาตินิยมที่ปกป้องประเทศ[456] ในระดับนานาชาติ ขบวนการของเขาได้รับการสนับสนุนจากประเทศต่าง ๆ เช่น จีน ไทย และสหรัฐอเมริกาในช่วงความขัดแย้งนั้น เนื่องจากพวกเขามองว่าขบวนการนี้เป็นแนวป้องกันเวียดนาม และป้องกันพันธมิตรสำคัญของเวียดนาม นั่นคือสหภาพโซเวียต[457]

มีหลากหลายฝ่ายที่เข้าเยี่ยมเยือนรัฐบาลพล พต ในช่วงที่เขามีอำนาจ ตัวอย่างเช่น สันนิบาตคอมมิวนิสต์แคนาดาขนาดย่อม (ลัทธิมากซ์–เลนิน) ได้ส่งคณะผู้แทนไปพบเขาที่พนมเปญในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2521[458] อีกหนึ่งผู้สนับสนุนที่ไปเยี่ยมเยือนพล พต ในปีเดียวกัน คือมัลคอล์ม คัลด์เวล นักคอมมิวนิสต์ชาวสกอตแลนด์ และนักประวัติศาสตร์เศรษฐกิจจากวิทยาลัยบูรพคดีศึกษาและการศึกษาแอฟริกา มหาวิทยาลัยลอนดอน โดยเขาได้พบกับพล พต แต่กลับถูกสังหารไม่นานหลังจากนั้น โดยยังไม่ทราบตัวผู้กระทำ[459][460] ใน พ.ศ. 2521 เช่นกัน เขมรแดงได้พบกับคณะผู้แทนจากสมาคมมิตรภาพสวีเดน–กัมพูชา ซึ่งสมาชิกของสมาคมนี้แสดงความเห็นอกเห็นใจต่อเขมรแดงอย่างเปิดเผย[461] หนึ่งในสมาชิกสมาคม กุนนาร์ แบร์ยส์เตรอม ได้ระบุว่าในช่วงทศวรรษ 1970 เขาเคยเป็นผู้ประท้วงสงครามเวียดนาม ซึ่งไม่พอใจกับสหภาพโซเวียต และเชื่อว่ารัฐบาลกัมพูชากำลังสร้างสังคมบนพื้นฐานของเสรีภาพและความเท่าเทียม[462] ในมุมมองของเขา รัฐบาลเขมรแดงเป็น "แบบอย่างให้แก่โลกที่สาม"[461] แบร์ยส์เตรอมกล่าวว่าเขาและสมาชิกคนอื่น ๆ ได้ยินเรื่องโหดร้ายที่เกิดขึ้น แต่ "ไม่อยากเชื่อเรื่องเหล่านั้น"[462]

กิจกรรมเชิงลัทธิบูชารอบหลุมศพพล พต

[แก้]
ข้อมูลเพิ่มเติม:ลัทธิบูชาบุคคล

ได้มีการบันทึกกิจกรรมและพิธีกรรมเชิงลัทธิบูชาหลายรูปแบบรอบหลุมศพพล พต[463] ชาวบ้านจากอำเภออ็อนลวงแวง รวมทั้งผู้คนจากพื้นที่อื่นของกัมพูชา เดินทางไปยังหลุมศพเพื่อทำพิธีบูชาด้วยการถวายอาหารในวันสำคัญทางศาสนา เช่นเทศกาลสารทบรรพบุรุษและวันขึ้นปีใหม่กัมพูชา บางคนถวายอาหารทุกวัน และในบางโอกาสมีการถวายสิ่งของที่สำคัญ เช่น หัวหมู พร้อมการบรรเลงดนตรีราชสำนัก[463] อแมนดา ไพก์ นักข่าวเชิงสืบสวนที่เคยเดินทางไปกัมพูชา เล่าว่ายังคงมีผู้สนับสนุนพล พต ที่ยึดมั่นในความทรงจำและอุดมการณ์ของเขา และยังมีผู้ศรัทธาบางส่วนที่บูชาเขาอย่างแรงกล้าไพก์รายงานว่าผู้คนเหล่านี้ขุดค้นเถ้ากระดูกของพล พต และเก็บชิ้นกระดูกไปเป็นเครื่องราง[464] ชาวบ้านกัมพูชาบางคนเล่าว่าพวกเขาฝันถึงพล พต แล้วภายหลังถูกรางวัลสลากหรือล้มป่วยด้วยโรคมาลาเรียแล้วหายดี[465]นอกจากนี้ ยังมีผู้คนคุกเข่าอธิษฐานใกล้หลุมศพและสวดว่า "ลูกหลานของท่านอยู่ที่นี่แล้ว ท่านปู่ อย่าคิดว่าเราลืมท่าน" และขอพรเพื่อสุขภาพที่ดี รวมถึงขอให้บุตรหลานได้รับการศึกษาเช่นเดียวกับที่พล พต เคยได้รับ[465] เมื่อถูกถามถึงเหตุผลที่เดินทางไปยังหลุมศพ บางคนอธิบายว่าพวกเขาเคยรู้จักพล พต โดยตรง ขณะที่บางคนกล่าวว่ามาเพื่อแสดงความเคารพต่ออดีตผู้นำ แม้คนส่วนใหญ่จะรับรู้ว่าโลกภายนอกมองพล พต ในแง่ลบ แต่พวกเขายืนยันว่าเขาเป็นผู้สนับสนุนชาวนาและปกป้องกัมพูชา[465] ยังมีรายงานว่าบางคนฝันถึงพล พต แล้วเดินละเมอไปยังหลุมศพของเขาอีกด้วย[465]

หมายเหตุเชิงอธิบาย

[แก้]
  1. ในตำแหน่งเลขาธิการพรรคปฏิวัติประชาชนกัมพูชา
  2. ประมุขแห่งสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชา
  3. ในบทความนี้นามสกุลคือ พล ตามธรรมเนียมภาษาเขมร ควรเรียกบุคคลนี้ด้วยชื่อตัวคือพต
  4. เขมร:ប៉ុល ពត,อักษรโรมัน: Pŏl Pôt; ออกเสียง:ปล โปต
  5. เขมร:សាឡុត ស,อักษรโรมัน: Salŏt Sâ

อ้างอิง

[แก้]

เชิงอรรถ

[แก้]
  1. "Pol Pot's daughter weds".The Phnom Penh Post. 17 March 2014.เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 August 2014. สืบค้นเมื่อ29 June 2014.
  2. Chandler 1992, p. 7;Short 2004, p. 15.
  3. 12Short 2004, p. 18.
  4. 123Chandler 1992, p. 7.
  5. 12Short 2004, p. 15.
  6. Chandler 1992, p. 8;Short 2004, p. 15, 18.
  7. 123Chandler 1992, p. 8.
  8. Short 2004, p. 16.
  9. Short 2004, p. 20.
  10. 12Jones, Christopher (20 December 1981)."In the Land of the Khmer Rouge".New York Times.
  11. Chandler 1992, p. 14.
  12. Chandler 1992, p. 8;Short 2004, pp. 16–17.
  13. Chandler 1992, p. 9;Short 2004, pp. 20–21.
  14. Short 2004, p. 23.
  15. Chandler 1992, p. 17;Short 2004, p. 23.
  16. 123Chandler 1992, p. 17.
  17. Short 2004, p. 28.
  18. Short 2004, p. 27.
  19. Chandler 1992, p. 17;Short 2004, pp. 28–29.
  20. Chandler 1992, p. 18;Short 2004, p. 28.
  21. 123Chandler 1992, p. 22.
  22. Chandler 1992, p. 19;Short 2004, p. 31.
  23. Chandler 1992, p. 20;Short 2004, p. 31.
  24. Chandler 1992, p. 19.
  25. Short 2004, pp. 32–33.
  26. Chandler 1992, p. 21.
  27. Short 2004, p. 36.
  28. Chandler 1992, p. 21;Short 2004, p. 42.
  29. Chandler 1992, p. 21;Short 2004, pp. 42–43.
  30. 12Short 2004, p. 42.
  31. Short 2004, pp. 42–43.
  32. 12Short 2004, p. 31.
  33. Short 2004, p. 34.
  34. Chandler 1992, p. 21;Short 2004, p. 37.
  35. Chandler 1992, pp. 23–24;Short 2004, p. 37.
  36. Chandler 1992, pp. 23–24.
  37. Chandler 1992, p. 24.
  38. Short 2004, pp. 40–42.
  39. Short 2004, p. 43.
  40. Chandler 1992, pp. 25, 27;Short 2004, p. 45.
  41. 123Short 2004, p. 49.
  42. 12Chandler 1992, p. 28.
  43. 12Short 2004, p. 51.
  44. Short 2004, p. 53.
  45. Chandler 1992, p. 30;Short 2004, p. 50.
  46. Chandler 1992, p. 30.
  47. Chandler 1992, p. 34.
  48. Chandler 1992, pp. 28–29.
  49. Short 2004, pp. 52, 59.
  50. 123Short 2004, p. 63.
  51. Short 2004, p. 64.
  52. Short 2004, p. 68.
  53. Short 2004, p. 62.
  54. Chandler 1992, pp. 22–28;Short 2004, p. 66.
  55. 123Short 2004, p. 66.
  56. Chandler 1992, p. 27"'They became Communists when it was the popular thing to do—during the early 1950s under the unstable Fourth Republic in France when a Communist-controlled resistance movement in Cambodia bravely confronted the French colonial rulers. This period marked the heyday of the Communist party of France. The Khmer students' time in Paris coincided with the last years of Stalin's life and the apotheosis of the cult of personality surrounding him. The Communist party, one of the strongest in France, was considered the most Stalinist party outside eastern Europe. The years 1949-1953 also marked the victory of communism in China and the confrontation between Communist and anticommunist armies in the Korean War. To many young Khmer and millions of young people in France, communism seemed to be the wave of the future.'"
  57. Short 2004, p. 69.
  58. Chandler 1992, p. 34;Short 2004, p. 67.
  59. Short 2004, p. 70.
  60. Short 2004, p. 72.
  61. Short 2004, p. 74.
  62. Short 2004, pp. 76–77.
  63. "Pol Pot (1952): Monarchy or Democracy".www.marxists.org. สืบค้นเมื่อ2025-02-22.
  64. Short 2004, p. 80.
  65. 12Short 2004, p. 83.
  66. Chandler 1992, p. 28;Short 2004, pp. 65, 82.
  67. Chandler 1992, p. 42;Short 2004, p. 82.
  68. Chandler 1992, pp. 28, 42.
  69. Short 2004, pp. 85–86.
  70. Short 2004, pp. 88–89.
  71. Short 2004, p. 87.
  72. Short 2004, p. 89.
  73. Short 2004, pp. 89–90.
  74. Short 2004, p. 90.
  75. Short 2004, pp. 90, 95.
  76. Short 2004, p. 96.
  77. Chandler 1992, p. 44;Short 2004, p. 96.
  78. Short 2004, p. 100.
  79. Chandler 1992, p. 45;Short 2004, p. 100.
  80. Short 2004, pp. 92–95.
  81. Chandler 1992, pp. 44–45;Short 2004, p. 95.
  82. Short 2004, p. 101.
  83. Chandler 1992, pp. 45–46;Short 2004, pp. 103–04.
  84. Chandler 1992, p. 46;Short 2004, p. 104.
  85. Chandler 1992, p. 46;Short 2004, pp. 104–05.
  86. Short 2004, p. 105.
  87. Chandler 1992, p. 48.
  88. Chandler 1992, pp. 46, 48;Short 2004, p. 106.
  89. Chandler 1992, p. 49;Short 2004, pp. 109–10.
  90. Chandler 1992, pp. 49, 51;Short 2004, pp. 110–12.
  91. Short 2004, pp. 112–13.
  92. Short 2004, pp. 113–14.
  93. Chandler 1992, p. 47;Short 2004, p. 116.
  94. Chandler 1992, p. 54.
  95. Chandler 1992, p. 52;Short 2004, p. 120.
  96. Chandler 1992, p. 54;Short 2004, p. 120.
  97. Short 2004, pp. 116–17.
  98. Short 2004, p. 117.
  99. Chandler 1992, p. 52;Short 2004, p. 118.
  100. Short 2004, p. 116.
  101. 12Short 2004, p. 120.
  102. Short 2004, p. 121.
  103. Short 2004, pp. 121–22.
  104. Short 2004, p. 122.
  105. Short 2004, pp. 135–136.
  106. Chandler 1992, p. 62.
  107. Chandler 1992, pp. 61–62;Short 2004, p. 138.
  108. Tyner, James A. (2017).From Rice Fields to Killing Fields: Nature, Life, and Labor under the Khmer Rouge. Syracuse, NY: Syracuse University Press. p. 38.ISBN 978-0815635567.เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 March 2019. สืบค้นเมื่อ23 January 2019.
  109. Short 2004, pp. 139–40.
  110. Chandler 1992, p. 63;Short 2004, p. 140.
  111. Chandler 1992, pp. 63–64;Short 2004, p. 141.
  112. Short 2004, p. 141.
  113. Short 2004, pp. 124–25.
  114. Short 2004, p. 127.
  115. Chandler 1992, p. 60;Short 2004, pp. 131–32.
  116. Chandler 1992, p. 66;Short 2004, pp. 142–43.
  117. Chandler 1992, p. 67;Short 2004, p. 144.
  118. Chandler 1992, p. 67.
  119. Short 2004, p. 145.
  120. 123Short 2004, p. 146.
  121. Chandler 1992, p. 66;Short 2004, pp. 141–42.
  122. Short 2004, p. 147.
  123. Short 2004, p. 148.
  124. Short 2004, pp. 148–49.
  125. Short 2004, p. 149.
  126. Short 2004, p. 152.
  127. Chandler 1992, p. 74;Short 2004, pp. 156–57.
  128. Chandler 1992, pp. 70–71;Short 2004, p. 157.
  129. Short 2004, pp. 158–59.
  130. Short 2004, p. 159.
  131. 123"西哈努克、波尔布特与中国".news.ifeng.com (ภาษาจีน).เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 December 2019. สืบค้นเมื่อ6 December 2019.
  132. Chandler 1992, pp. 76–77;Short 2004, pp. 159–60.
  133. Chandler, David P. (2018).Brother Number One: A Political Biography Of Pol Pot (ภาษาอังกฤษ).Routledge.ISBN 978-0-429-98161-6.เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 August 2020. สืบค้นเมื่อ6 December 2019.
  134. Chandler 1992, p. 70.
  135. Short 2004, p. 161.
  136. Chandler 1992, p. 79;Short 2004, pp. 161–62.
  137. Chandler 1992, p. 207.
  138. Chandler 1992, p. 70;Short 2004, p. 162.
  139. Short 2004, p. 162.
  140. Short 2004, p. 170.
  141. Short 2004, p. 172.
  142. Short 2004, p. 173.
  143. 123Short 2004, p. 174.
  144. Chandler 1992, p. 84;Short 2004, p. 174.
  145. Short 2004, p. 175.
  146. Chandler 1992, p. 86;Short 2004, pp. 175–76.
  147. 12Short 2004, p. 176.
  148. Short 2004, p. 177.
  149. 12Short 2004, p. 188.
  150. 123Short 2004, p. 210.
  151. Chandler 1992, p. 89;Short 2004, pp. 195–97.
  152. Chandler 1992, pp. 89–90;Short 2004, pp. 198–99.
  153. Short 2004, p. 200.
  154. Short 2004, pp. 199–200.
  155. "Dining with the Dear Leader".Asia Time. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 August 2016. สืบค้นเมื่อ26 August 2020.{{cite web}}: CS1 maint: unfit URL (ลิงก์)
  156. Short 2004, p. 202.
  157. Short 2004, p. 204.
  158. Short 2004, pp. 202–03.
  159. Chandler 1992, p. 87.
  160. 12Short 2004, p. 216.
  161. Short 2004, p. 215.
  162. Chandler 1992, p. 101;Short 2004, p. 218.
  163. Short 2004, p. 218.
  164. Short 2004, pp. 210–11.
  165. 12Short 2004, p. 212.
  166. Short 2004, p. 213;Hinton 2005, p. 382.
  167. 12Short 2004, p. 222.
  168. Short 2004, pp. 223–24.
  169. Chandler 1992, p. 95.
  170. Short 2004, p. 225.
  171. Short 2004, p. 223.
  172. 123Short 2004, p. 227.
  173. 12Short 2004, p. 230.
  174. Short 2004, p. 229.
  175. 12Short 2004, p. 231.
  176. Short 2004, pp. 230–31.
  177. Short 2004, p. 232.
  178. Chandler 1992, p. 100;Short 2004, pp. 230, 236.
  179. Short 2004, p. 236.
  180. Short 2004, pp. 233–34.
  181. Short 2004, p. 235.
  182. Chandler 1992, p. 100;Short 2004, p. 236.
  183. Short 2004, p. 237.
  184. Short 2004, pp. 237–38.
  185. Chandler 1992, pp. 101–04;Short 2004, pp. 242–44.
  186. Chandler 1992, p. 105;Short 2004, pp. 246–47.
  187. 12Short 2004, p. 247.
  188. Short 2004, p. 246.
  189. Short 2004, p. 249.
  190. Short 2004, pp. 249–51.
  191. Short 2004, pp. 249–50.
  192. Chandler 1992, p. 104;Short 2004, p. 249.
  193. Chandler 1992, p. 107;Short 2004, p. 254.
  194. Short 2004, p. 251.
  195. Short 2004, p. 255.
  196. 12Short 2004, p. 256.
  197. Chandler 1992, p. 107;Short 2004, pp. 256–57.
  198. Short 2004, p. 261.
  199. Chandler 1992, p. 108;Short 2004, pp. 265–68.
  200. Short 2004, p. 271.
  201. Chandler 1992, p. 107;Short 2004, p. 263.
  202. Short 2004, p. 264.
  203. 12Short 2004, p. 275.
  204. Chandler 1992, p. 108;Short 2004, p. 254.
  205. Chandler 1992, p. 108;Short 2004, p. 271.
  206. Short 2004, p. 272.
  207. Short 2004, p. 273.
  208. Short 2004, pp. 278–79.
  209. Chandler 1992, pp. 108–09;Short 2004, pp. 272–73.
  210. Short 2004, p. 287.
  211. 12Short 2004, p. 286.
  212. Chandler 1992, p. 109;Short 2004, p. 286.
  213. 1234Short 2004, p. 288.
  214. 12Short 2004, p. 293.
  215. Short 2004, pp. 294–95.
  216. 12Short 2004, p. 289.
  217. Ciorciari 2014, pp. 218–19.
  218. Ciorciari 2014, p. 218.
  219. Chandler 1992, p. 110;Short 2004, pp. 296–98.
  220. Chandler 1992, p. 110;Short 2004, pp. 298–301.
  221. Short 2004, pp. 299–300.
  222. 12Chandler 1992, p. 111;Short 2004, p. 303.
  223. Short 2004, p. 303.
  224. Short 2004, p. 305.
  225. Short 2004, p. 299.
  226. Short 2004, p. 297.
  227. 1234Short 2004, p. 312.
  228. Chandler 1992, p. 116;Short 2004, pp. 343–44.
  229. 123Short 2004, p. 344.
  230. 12Short 2004, p. 304.
  231. Chandler 1992, p. 113;Short 2004, p. 322.
  232. Chandler 1992, p. 113;Ciorciari 2014, p. 218.
  233. Chandler 1992, p. 111.
  234. Chandler 1992, p. 111;Short 2004, pp. 329–30.
  235. Short 2004, p. 329.
  236. Short 2004, p. 330.
  237. Short 2004, pp. 330–31.
  238. Short 2004, pp. 306–08;Ciorciari 2014, pp. 219–20.
  239. 1234Short 2004, p. 291.
  240. Chandler 1992;Short 2004, p. 306.
  241. Short 2004, p. 308.
  242. 123456Short 2004, p. 292.
  243. 12Short 2004, p. 321.
  244. 12Short 2004, p. 322.
  245. Chandler 1992, p. 123;Short 2004, p. 322.
  246. Short 2004, p. 319.
  247. Short 2004, pp. 323–24.
  248. Short 2004, pp. 324–25.
  249. 123456Short 2004, p. 326.
  250. Short 2004, p. 333.
  251. 1234Short 2004, p. 332.
  252. Chandler 1992, pp. 114–15;Short 2004, pp. 334–35.
  253. Short 2004, pp. 334–35.
  254. Short 2004, pp. 335–36.
  255. 123Short 2004, p. 341.
  256. 12Short 2004, p. 342.
  257. Chandler 1992, p. 112;Short 2004, p. 342.
  258. 12Chandler 1992, p. 116;Short 2004, p. 336.
  259. Short 2004, p. 337.
  260. Short 2004, p. 336.
  261. 12Short 2004, p. 340.
  262. 12Chandler 1992, p. 128;Short 2004, p. 361.
  263. Chandler 1992, p. 142;Short 2004, p. 375.
  264. Chandler 1992, p. 128;Short 2004, p. 362.
  265. 12Short 2004, p. 362.
  266. Thion, pp. 27–28
  267. Michael Vickery, Cambodia: 1975–1982. Boston: South End Press, 1984, p. 288.
  268. Short 2004, pp. 288–89.
  269. Short 2004, p. 327.
  270. 123Short 2004, p. 351.
  271. Chandler 1992, p. 126;Short 2004, pp. 344–45.
  272. 12Short 2004, p. 346.
  273. Short 2004, p. 347.
  274. Short 2004, p. 352.
  275. 12Short 2004, p. 353.
  276. Short 2004, pp. 345–46.
  277. Short 2004, p. 348.
  278. Short 2004, p. 349.
  279. Salter, Richard C. (2000). "Time, Authority, and Ethics in the Khmer Rouge: Elements of the Millennial Vision in Year Zero". ในWessinger, Catherine (บ.ก.).Millennialism, Persecution, and Violence: Historical Cases (ภาษาอังกฤษ).Syracuse University Press. p. 282.ISBN 978-0-8156-0599-7.Democratic Kampuchea was officially an atheist state, and the persecution of religion by the Khmer Rouge was matched in severity only by the persecution of religion in the communist states of Albania and North Korea, so there were not any direct historical continuities of Buddhism into the Democratic Kampuchea era.
  280. Short 2004, p. 313.
  281. 12Short 2004, p. 354.
  282. Short 2004, pp. 354–55.
  283. Short 2004, p. 359.
  284. Short 2004, p. 360.
  285. Chandler 1992, p. 134;Short 2004, p. 367.
  286. Short 2004, pp. 344, 366.
  287. Short 2004, pp. 368–70.
  288. Chandler 1992, pp. 130, 133;Short 2004, p. 358.
  289. 12Short 2004, p. 364.
  290. Short 2004, p. 367.
  291. 1234Short 2004, p. 371.
  292. Short 2004, p. 370.
  293. 123Chandler 1992, p. 168.
  294. 1234Short 2004, p. 372.
  295. 12Short 2004, p. 368.
  296. Short 2004, p. 383.
  297. 12Short 2004, pp. 384–85.
  298. Short 2004, p. 384.
  299. Short 2004, p. 357.
  300. 12Short 2004, p. 356.
  301. Ciorciari 2014, p. 217.
  302. Ciorciari 2014, p. 215.
  303. Short 2004, p. 300;Ciorciari 2014, p. 220.
  304. Ciorciari 2014, p. 220.
  305. Chandler 1992, p. 110;Short 2004, p. 302;Ciorciari 2014, pp. 226–27, 234.
  306. Ciorciari 2014, pp. 216–17.
  307. Ciorciari 2014, p. 221.
  308. 12Short 2004, p. 363.
  309. Short 2004, pp. 332–33.
  310. 12Short 2004, p. 361.
  311. Kiernan, Ben (2003). "The Demography of Genocide in Southeast Asia: The Death Tolls in Cambodia, 1975–79, and East Timor, 1975–80".Critical Asian Studies.35 (4): 585–597.doi:10.1080/1467271032000147041.ISSN 1467-2715.S2CID 143971159.
  312. Locard, Henri (March 2005). "State Violence in Democratic Kampuchea (1975–1979) and Retribution (1979–2004)".European Review of History.12 (1): 121–143.doi:10.1080/13507480500047811.S2CID 144712717.
  313. 12Heuveline, Patrick (2001). "The Demographic Analysis of Mortality Crises: The Case of Cambodia, 1970–1979".Forced Migration and Mortality.National Academies Press. pp. 102–105.ISBN 978-0309073349.
  314. Seybolt, Taylor B.; Aronson, Jay D.; Fischoff, Baruch (2013).Counting Civilian Casualties: An Introduction to Recording and Estimating Nonmilitary Deaths in Conflict.Oxford University Press. p. 238.ISBN 978-0199977314.
  315. 123"Cambodia: U.S. bombing, civil war, & Khmer Rouge".World Peace Foundation. 7 August 2015. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 July 2019. สืบค้นเมื่อ5 August 2019.
  316. Heuveline, Patrick (2001). "The Demographic Analysis of Mortality Crises: The Case of Cambodia, 1970–1979".Forced Migration and Mortality.National Academies Press. p. 124.ISBN 978-0-309-07334-9. cf.Hersh, Seymour M. (8 August 1979). "2.25 million Cambodians Facing Starvation".The New York Times.
  317. Short 2004, p. 376.
  318. Chandler 1992, p. 141;Short 2004, p. 375.
  319. Chandler 1992, p. 145;Short 2004, pp. 375–77.
  320. Chandler 1992, pp. 150–51;Short 2004, p. 377.
  321. Chandler 1992, p. 151;Short 2004, p. 377.
  322. 12Short 2004, p. 378.
  323. 12Short 2004, p. 389.
  324. Chandler 1992, p. 151.
  325. Chandler 1992, p. 152;Short 2004, p. 379.
  326. Chandler 1992, pp. 157–58;Short 2004, p. 361.
  327. 123Chandler 1992, p. 157.
  328. 123Chandler 1992, p. 158.
  329. Chandler 1992, p. 155;Short 2004, p. 385.
  330. 1234Short 2004, p. 386.
  331. 12Short 2004, p. 387.
  332. Short 2004, p. 381.
  333. Short 2004, p. 391.
  334. Short 2004, p. 393.
  335. Short 2004, p. 390.
  336. Short 2004, pp. 390, 393.
  337. Short 2004, p. 388.
  338. Short 2004, pp. 388–89.
  339. Short 2004, pp. 389–90.
  340. 12Short 2004, p. 392.
  341. 123Short 2004, p. 395.
  342. Short 2004, p. 397.
  343. Short 2004, pp. 396–97.
  344. 12Short 2004, p. 398.
  345. 1234Short 2004, p. 402.
  346. 12Short 2004, p. 400.
  347. Short 2004, p. 399.
  348. Short 2004, pp. 400–01.
  349. Chandler 1992, p. 165;Short 2004, p. 401.
  350. 12Short 2004, p. 409.
  351. Chandler 1992, p. 165;Short 2004, p. 409.
  352. Short 2004, pp. 402–03.
  353. 12Short 2004, p. 405.
  354. Short 2004, pp. 406–08.
  355. Short 2004, p. 407.
  356. 12Short 2004, p. 406.
  357. Short 2004, p. 408.
  358. Short 2004, pp. 407–08.
  359. 123Short 2004, p. 411.
  360. Chandler 1992, pp. 169–70;Short 2004, p. 415.
  361. 1234Short 2004, p. 414.
  362. Chandler 1992, p. 156;Short 2004, p. 412.
  363. Chandler 1992, p. 171;Short 2004, p. 415.
  364. 123Short 2004, p. 412.
  365. 12345Short 2004, p. 417.
  366. Short 2004, pp. 415–16.
  367. Short 2004, p. 415.
  368. 123Short 2004, p. 416.
  369. Chandler 1992, p. 184.
  370. Chandler 1992, p. 169;Short 2004, p. 416.
  371. Short 2004, pp. 416–17.
  372. 12Short 2004, p. 418.
  373. Short 2004, p. 419.
  374. 12Short 2004, p. 421.
  375. Short 2004, p. 422.
  376. 12Short 2004, p. 423.
  377. Short 2004, pp. 423–24.
  378. Short 2004, pp. 424–25.
  379. Short 2004, p. 425.
  380. Short 2004, p. 426.
  381. 123Short 2004, p. 427.
  382. 123Short 2004, p. 428.
  383. Short 2004, p. 429.
  384. 12345Short 2004, p. 430.
  385. Short 2004, pp. 430–31.
  386. 123Short 2004, p. 431.
  387. 12Short 2004, p. 432.
  388. Short 2004, p. 434.
  389. 1234567Short 2004, p. 433.
  390. Short 2004, p. 436.
  391. 123Short 2004, p. 437.
  392. Short 2004, p. 438.
  393. 12Short 2004, p. 440.
  394. Short 2004, pp. 440–41.
  395. 123Short 2004, p. 441.
  396. "Pol Pot: Mistakes Were Made".AP NEWS. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 April 2021. สืบค้นเมื่อ3 November 2020.
  397. Service, New York Times News (23 October 1997)."POL POT FEELS NO GUILT FOR BUTCHERY".chicagotribune.com.เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 April 2021. สืบค้นเมื่อ14 September 2020.
  398. Farley, Maggie (23 October 1997)."Ailing Pol Pot Looks Back on Reign Without Remorse".Los Angeles Times.เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 April 2021. สืบค้นเมื่อ14 September 2020.
  399. 12345Short 2004, p. 442.
  400. ""Killing Fields Leader 'killed himself',"BBC News, January 21, 1999".เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 March 2016. สืบค้นเมื่อ14 March 2021.
  401. Poole, Teresa (21 January 1999)."Pol Pot `suicide' to avoid US trial"เก็บถาวร 1 พฤษภาคม 2019 ที่เวย์แบ็กแมชชีน.The Independent. London. Retrieved 5 August 2019.
  402. Gittings, John; Tran, Mark (21 January 1999)."Pol Pot 'killed himself with drugs'".The Guardian.เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 June 2019. สืบค้นเมื่อ8 August 2014.
  403. Sainsbury, Peter (24 April 1998). Tayseng, Ly; Rith, Sam; Seangly, Phak; Kunmakara, May; Simala, Pen (บ.ก.)."Burned like old rubbish".The Phnom Penh Post (ภาษาอังกฤษ).Phnom Penh,Cambodia: Post Media Co Ltd. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 November 2013. สืบค้นเมื่อ26 June 2021.
  404. Chandler, David (27 June 1997). Tayseng, Ly; Rith, Sam; Seangly, Phak; Kunmakara, May; Simala, Pen (บ.ก.)."A small, muddled, erratic, frightened man".The Phnom Penh Post (ภาษาอังกฤษ).Phnom Penh,Cambodia: Post Media Co Ltd. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 April 2014. สืบค้นเมื่อ26 June 2021.
  405. Handley, Erin; Sineat, Yon; Meta, Kong (13 April 2018). Tayseng, Ly; Rith, Sam; Seangly, Phak; Kunmakara, May; Simala, Pen (บ.ก.)."Twenty years after Pol Pot died a broken man, his memory looms large".The Phnom Penh Post (ภาษาอังกฤษ).Phnom Penh,Cambodia: Post Media Co Ltd. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 October 2020. สืบค้นเมื่อ26 June 2021.
  406. 12Short 2004, p. 443.
  407. Willemyns, Alex (28 October 2014)."Once Pol Pot's Aide, Now a Capitalist Crusader| the Cambodia Daily". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 September 2020. สืบค้นเมื่อ23 April 2020.
  408. Narin, Sun (2018-04-23)."20 Years After His Death, Cambodians Still Struggle to Put Memories of Pol Pot Behind Them".Voice of America.เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 18, 2025. สืบค้นเมื่อ2025-05-21.
  409. Short 2004, p. 283.
  410. 12Short 2004, p. 318.
  411. Thayer, Nate (28 October 1997)."Second Thoughts for Pol Pot".The Washington Post.เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 15, 2016.
  412. Thayer, Nate (30 October 1997). "My Education: How Saloth Sar became Pol Pot".Far Eastern Economic Review.
  413. Short 2004, p. 281.
  414. Documents in Communist Affairs. Springer. 1981. p. 108.
  415. Short 2004, p. 150.
  416. Short 2004, pp. 364, 387.
  417. Chandler 1992, p. 185.
  418. Chandler 1992, p. 186;Short 2004, p. 289.
  419. Short 2004, p. 444.
  420. Chandler 1992, p. 178.
  421. Ciorciari 2014, pp. 217, 222.
  422. Chandler 1992, p. 96.
  423. "Khmer Rouge Ideology". Holocaust Memorial Day.เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 June 2018. สืบค้นเมื่อ15 February 2018.
  424. Chandler 1992, p. 3.
  425. 12Chandler 1992, p. 6.
  426. 12Chandler 1992, p. 159.
  427. Chandler 1992, p. 182.
  428. 12Chandler 1992, p. 139.
  429. 123Chandler 1992, p. 179.
  430. Short 2004, p. 6.
  431. 12Short 2004, p. 5.
  432. Holiday in Cambodia, byWilliam T. Vollman; inSpin; published March 1997; p. 85
  433. Biography of Comrade Pol Pot, Secretary of the Central Committee of the Communist Party of Kampuchea, Department of Press and Information of the Ministry of Foreign Affairs of Democratic Kampuchea (September 1978) p. 6–7
  434. 123Chandler 1992, p. 5.
  435. Short 2004, p. 396.
  436. Chandler 1992, p. 172.
  437. 12Short 2004, p. 44.
  438. 12Short 2004, p. 338.
  439. Short 2004, pp. 340–41.
  440. Chandler 1992, pp. 111–12.
  441. Chandler 1992, pp. 106, 139.
  442. Chandler 1992, p. 69.
  443. 12Chandler 1992, p. 187.
  444. Short 2004, p. 296.
  445. Short 2004, p. 248.
  446. Short 2004, p. 339.
  447. Short 2004, pp. 339–40.
  448. Chandler 1992, p. 169.
  449. Mydans, Seth (17 April 1998)."Death of Pol Pot; Pol Pot, Brutal Dictator Who Forced Cambodians to Killing Fields, Dies at 73".The New York Times.เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 August 2019. สืบค้นเมื่อ4 February 2020.
  450. "Khmer Rouge: Cambodia's years of brutality". BBC News. 16 November 2018.เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 February 2020. สืบค้นเมื่อ4 February 2020.;Quackenbush, Casey (7 January 2019)."40 Years After the Fall of the Khmer Rouge, Cambodia Still Grapples With Pol Pot's Brutal Legacy".Time.เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 June 2020. สืบค้นเมื่อ4 February 2020.
  451. de Launey, Guy (7 January 2009)."30 Years Since Fall of Pol Pot".Deutsche Welle.เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 February 2020. สืบค้นเมื่อ4 February 2020.
  452. de Jong, Alex (April 2019)."Inside the Khmer Rouge's Killing Fields".Jacobin.เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 February 2020. สืบค้นเมื่อ4 February 2020.
  453. Chandler 1992, p. 119.
  454. 12Short 2004, p. 446.
  455. Chandler 1992, p. 161.
  456. Chandler 1992, p. 186.
  457. Chandler 1992, p. 167.
  458. Chandler 1992, p. 163;Short 2004, p. 396.
  459. Chandler 1992, pp. 161–62;Short 2004, pp. 394–95.
  460. Anthony, Andrew (10 January 2010)."Lost in Cambodia".The Guardian.เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 December 2018. สืบค้นเมื่อ4 January 2020.
  461. 12De Launey, Guy (19 November 2008)."Ex-Khmer Rouge admirer says sorry". BBC News.เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 September 2020. สืบค้นเมื่อ4 February 2020.
  462. 12Salvá, Ana (4 May 2019)."Swedish man who dined with Khmer Rouge's Pol Pot 40 years ago: I regret it".This Week in Asia.เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 January 2020. สืบค้นเมื่อ4 February 2020.
  463. 12Guillou, Anne Yvonne (2018)."The "Master of the Land": cult activities around Pol Pot's tomb".Journal of Genocide Research (ภาษาอังกฤษ).20 (2): 275–289.doi:10.1080/14623528.2018.1459169.S2CID 81694769.
  464. Pike, Amanda (October 2002)."Cambodia - Pol Pot's Shadow".Public Broadcasting Service.
  465. 1234Pike, Amanda (October 2002)."Anlong Veng - Pol Pot's Grave".Public Broadcasting Service.

บรรณานุกรม

[แก้]

หนังสืออ่านเพิ่มเติม

[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]
พล พต ที่โครงการพี่น้องของวิกิพีเดีย
ก่อนหน้าพล พตถัดไป
เขียว สัมพันนายกรัฐมนตรีกัมพูชาประชาธิปไตย
(1976 – 1980)
เขียว สัมพัน
ตู สามุตเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา
(1963 - 1981)
ตัวเอง
พรรคกัมพูชาประชาธิปไตย
ตัวเอง
พรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา
เลขาธิการพรรคกัมพูชาประชาธิปไตย
(1981 - 1985)
เขียว สัมพัน
-ผู้บัญชาการทหารสูงสุดกองกำลังเขมรแดง
(1980 - 1985)
ซอน เซน
Flag of Monarchyกัมพูชาในอารักขาของฝรั่งเศส
Flag of Monarchy-Regency of Cambodiaราชอาณาจักรกัมพูชา
Flag of the Khmer Republicสาธารณรัฐเขมร
Flag of Democratic Kampucheaกัมพูชาประชาธิปไตย
Flag of the People's Republic of Kampucheaสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา
และFlag of the State of Cambodiaรัฐกัมพูชา
Flag of Cambodiaราชอาณาจักรกัมพูชา
ตัวเอียง หมายถึง นายกรัฐมนตรีรักษาการ
เข้าถึงจาก "https://th.wikipedia.org/w/index.php?title=พล_พต&oldid=12680478"
หมวดหมู่:
หมวดหมู่ที่ซ่อนอยู่:

[8]ページ先頭

©2009-2025 Movatter.jp