การจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่: พ.ศ. 2518[ แก้ ] ในช่วงแรก รัฐบาลพล พต จัดประชุมที่วัดพระแก้วมรกต ซึ่งต่อมากลายเป็นที่พำนักของพล พต เมื่อวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2518 สามวันหลังกรุงพนมเปญแตก พล พต ได้เดินทางเข้าสู่เมืองหลวงที่ถูกทิ้งร้างอย่างลับ ๆ[ 211] เขาและผู้นำเขมรแดงคนอื่นใช้สถานีรถไฟเป็นฐานที่มั่นหลัก เนื่องจากสามารถป้องกันได้โดยสะดวก[ 212] จากนั้นต้นเดือนพฤษภาคม จึงย้ายกองบัญชาการไปยังอาคารกระทรวงการคลังเก่า[ 211] ไม่นานหลังจากนั้น เหล่าแกนนำพรรคได้จัดการประชุมขึ้น ณวัดพระแก้วมรกต และมีมติร่วมกันว่าการเพิ่มผลผลิตทางเกษตรกรรมควรเป็นภารกิจสำคัญสูงสุดของรัฐบาล[ 213] พล พต ประกาศว่า "เกษตรกรรมคือกุญแจสำคัญทั้งต่อการสร้างชาติและการป้องกันประเทศ"[ 213] เขาเชื่อว่าหากกัมพูชาไม่สามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว ก็จะตกอยู่ในความเสี่ยงต่อการถูกเวียดนามครอบงำเช่นที่เคยเกิดขึ้นในอดีต[ 214] เป้าหมายของพรรค คือ การทำให้การเกษตรมีเครื่องจักรกลใช้ถึงร้อยละ 70 ถึง 80 ภายในเวลา 5 ถึง 10 ปี และสร้างฐานอุตสาหกรรมสมัยใหม่ภายในเวลา 15 ถึง 20 ปี[ 213] ในโครงการนี้ พล พต เห็นว่าเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างกลไกเพื่อให้ประชากรชาวนาเพิ่มความทุ่มเทและแรงงานมากกว่าที่เคยเป็นมา[ 215] เขมรแดงซึ่งมีแนวคิดแบบเศรษฐกิจพึ่งพาตนเอง ประสงค์จะสร้างกัมพูชาให้เป็นรัฐเกษตรกรรมที่พึ่งพาตนเองได้ โดยไม่ได้ปฏิเสธความช่วยเหลือจากต่างประเทศโดยสิ้นเชิง แต่กลับมองว่าความช่วยเหลือดังกล่าวมีลักษณะเป็นพิษภัย[ 216] แม้ว่าจีนจะได้จัดส่งความช่วยเหลือด้านอาหารในปริมาณมาก แต่เขมรแดงก็มิได้ประกาศยอมรับอย่างเปิดเผย[ 216] ไม่นานหลังจากการยึดกรุงพนมเปญ เอียง ซารี ได้เดินทางไปยังปักกิ่งเพื่อเจรจาจัดหายุทโธปกรณ์จากจีนจำนวน 13,300 ตัน ให้แก่กัมพูชา[ 217] ในการประชุมสมัชชาแห่งชาติเมื่อเดือนเมษายน เขมรแดงได้ประกาศว่าจะไม่อนุญาตให้มีการตั้งฐานทัพต่างชาติใด ๆ บนแผ่นดินกัมพูชา ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณข่มขู่ต่อเวียดนามที่ยังคงมีกองกำลังจำนวน 20,000 นาย ประจำการอยู่ในประเทศ[ 218] พล พต, นวน เจีย, และเอียง ซารี เดินทางไปที่ฮานอยในเดือนพฤษภาคม เพื่อระงับความตึงเครียดที่เกิดขึ้นจากการปะทะกับทหารเวียดนามในพื้นที่พิพาทบริเวณเกาะไว และเสนอสนธิสัญญามิตรภาพระหว่างสองประเทศ ซึ่งในระยะสั้นก็ช่วยคลี่คลายความตึงเครียดลงได้[ 219] หลังจากนั้น พล พต ไก้เดินทางต่อไปยังกรุงปักกิ่งอีกครั้งอย่างลับ ๆ โดยเข้าพบเหมา เจ๋อตง และเติ้ง เสี่ยวผิง[ 220] แม้ว่าการสื่อสารกับเหมาจะมีข้อจำกัดเพราะต้องพึ่งล่าม แต่เหมาได้เตือนผู้นำกัมพูชารุ่นใหม่ผู้นี้มิให้ลอกเลียนเส้นทางสังคมนิยมของจีนหรือประเทศอื่นโดยไม่ไตร่ตรอง พร้อมทั้งแนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้มาตรการที่รุนแรงเช่นที่เขมรแดงเคยใช้มาแล้ว[ 221] ขณะอยู่ที่จีน พล พต ยังได้รับการรักษาโรคมาลาเรีย และโรคกระเพาะอาหาร[ 222] ต่อมาเขาเดินทางต่อไปยังเกาหลีเหนือเพื่อเข้าพบคิม อิล-ซ็อง [ 222] จากนั้นในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม เขาได้กลับสู่กัมพูชา[ 223] และในเดือนสิงหาคม ก็ออกเดินทางตรวจเยี่ยมเขตตะวันตกเฉียงใต้และเขตตะวันออก[ 224]
ท่านมีประสบการณ์มากมาย ยอดเยี่ยมกว่าพวกเรา เราไม่มีสิทธิ์จะวิจารณ์ท่าน ... โดยพื้นฐานแล้วท่านทำถูกต้อง แต่ท่านเคยผิดพลาดหรือไม่ ข้าพเจ้าไม่อาจทราบได้ แน่นอนท่านเคยผิดพลาด ดังนั้นจงแก้ไขตนเอง จงปรับให้ถูกให้ควร ! ... เพราะหนทางยังคงคดเคี้ยว
— คำแนะนำของเหมาต่อพล พต เมื่อ พ.ศ. 2518[ 225]
ในเดือนพฤษภาคม พล พต เลือกวัดพระแก้วมรกตเป็นที่พำนักหลักของตน[ 226] ก่อนที่เขาจะย้ายไปยังอาคารธนาคารที่สร้างขึ้นในทศวรรษ 1960 ซึ่งเป็นอาคารสูงที่สุดในกรุงพนมเปญ และได้รับการเรียกขานว่า "เค1"[ 227] บุคคลระดับสูงคนอื่น ๆ ของรัฐบาล ได้แก่ นวน เจีย, เอียง ซารี, และวอน เวต ก็พำนักอยู่ที่นั่นด้วย[ 227] ภรรยาของพล พต ซึ่งอาการป่วยทางจิตเภทได้ทวีความรุนแรงมากขึ้น ได้รับการส่งตัวไปอยู่ในบ้านหลังหนึ่งที่เขตบึงเกงกาง[ 227] ต่อมาในปีเดียวกันนั้น พล พต ได้พักอาศัยในบ้านเก่าของครอบครัวพอนนารีบนถนนดอกเตอร์ฮาน และในเวลาต่อมา ก็เข้ายึดบ้านพักตากอากาศหลังหนึ่งทางตอนใต้ของกรุงพนมเปญเป็นที่พำนักส่วนตัว[ 227] พล พต ได้จัดการเลือกตั้งรัฐสภา เพื่อสร้างภาพลักษณ์ความชอบธรรมให้แก่รัฐบาล แม้ว่าจะมีผู้สมัครเพียงคนเดียวในทุกเขตเลือกตั้ง ยกเว้นกรุงพนมเปญก็ตาม[ 228] ทั้งนี้ รัฐสภาได้มีการประชุมรวมเพียง 3 ชั่วโมงเท่านั้น[ 229]
แม้ว่าพล พต และเขมรแดงจะยังคงเป็นรัฐบาลโดยพฤตินัย แต่ในระยะแรก รัฐบาลอย่างเป็นทางการของประเทศ คือราชรัฏฐาภิบาลรวบรวมชาติกัมพูชา โดยมีแปน นุต เป็นผู้นำแต่ในนาม แม้ว่าเจ้าตัวจะพำนักอยู่ที่กรุงปักกิ่งตลอดเวลา[ 230] ตลอดทั้ง พ.ศ. 2518 การควบคุมกัมพูชาของพรรคคอมมิวนิสต์ยังคงเป็นความลับ[ 231] ในการประชุมสมัชชาแห่งชาติสมัยพิเศษระหว่างวันที่ 25 ถึง 27 เมษายน เขมรแดงได้ตกลงแต่งตั้งสมเด็จพระนโรดม สีหนุ เป็นประมุขแห่งรัฐแ ต่ในนาม[ 232] ซึ่งพระองค์ยังทรงดำรงสถานะนี้ตลอดทั้งปี พ.ศ. 2518[ 233] เดิมที สมเด็จพระนโรดม สีหนุ ทรงใช้เวลาส่วนใหญ่ที่กรุงปักกิ่งและกรุงเปียงยาง แต่ในเดือนกันยายน เขาได้รับอนุญาตให้เดินทางกลับกัมพูชา[ 234] พล พต ตระหนักดีว่าหากปล่อยให้พระองค์ประทับอยู่ต่างประเทศต่อไป พระองค์อาจกลายเป็นศูนย์รวมของฝ่ายต่อต้าน ดังนั้น จึงเห็นว่าควรนำพระองค์เข้ามามีบทบาทภายในรัฐบาลเขมรแดงเอง อีกทั้งยังมุ่งหวังที่จะใช้ประโยชน์จากพระเกียรติภูมิของพระองค์ที่มีอยู่ในขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด [ 235] เมื่อสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ทรงหวนคืนสู่ปิตุภูมิ พระองค์ประทับอยู่ในพระราชวังและได้รับการดูแลเป็นอย่างดี[ 236] สมเด็จพระนโรดม สีหนุ ยังคงได้รับอนุญาตให้เดินทางไปต่างประเทศ โดยในเดือนตุลาคม ทรงได้ขึ้นกล่าวปราศรัยต่อที่ประชุมใหญ่สหประชาชาติ เพื่อสนับสนุนรัฐบาลกัมพูชาใหม่ และในเดือนพฤศจิกายน ก็ทรงออกเดินทางเยือนนานาประเทศ[ 237]
กองกำลังทหารของเขมรแดงยังคงแบ่งออกตามเขตพื้นที่การควบคุม และในการสวนสนามทางทหารเมื่อเดือนกรกฎาคม พล พต ได้ประกาศการรวมกองกำลังทั้งหมดอย่างเป็นทางการเป็น "กองทัพปฏิวัติแห่งชาติ" โดยมีซน เซน เป็นผู้บัญชาการสูงสุด[ 230] แม้ว่าธนบัตรชุดใหม่ของกัมพูชาจะได้รับการจัดพิมพ์ในประเทศจีนตั้งแต่ช่วงสงครามกลางเมือง แต่เขมรแดงก็ตัดสินใจไม่ประกาศใช้ ในการประชุมใหญ่คณะกรรมการกลางที่จัดขึ้น ณ กรุงพนมเปญในเดือนกันยายน มีมติว่าการใช้เงินตราจะนำไปสู่การทุจริตและบั่นทอนความพยายามในการสถาปนาสังคมนิยม[ 238] ด้วยเหตุนี้ กัมพูชาประชาธิปไตยจึงปราศจากระบบค่าจ้าง[ 239] มีการคาดหวังให้ประชาชนปฏิบัติตามคำสั่งของเขมรแดงทุกประการโดยไม่รับค่าตอบแทน หากปฏิเสธก็จะเผชิญบทลงโทษ ซึ่งบางครั้งรวมถึงการประหารชีวิต[ 239] ฟิลิป ชอร์ต ได้อธิบายกัมพูชาสมัยพล พต ว่าเป็น "รัฐทาส" ซึ่งประชาชนถูกบังคับใช้ทำงานโดยปราศจากค่าจ้าง เปรียบเสมือนการตกอยู่ในสภาพทาส อย่างแท้จริง[ 239] ในการประชุมใหญ่เดือนกันยายน พล พต ยังได้ประกาศให้ชาวนาทุกคนต้องบรรลุเป้าหมายการผลิตข้าวเปลือก 3 ตันต่อเฮกตาร์ ซึ่งมากกว่าผลผลิตเฉลี่ยเดิม[ 240] อีกทั้งยังประกาศว่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมควรมุ่งเน้นไปที่เครื่องจักรกลการเกษตรขั้นพื้นฐาน และสินค้าอุตสาหกรรมเบา เช่น จักรยาน[ 241]
ตั้งแต่ พ.ศ. 2518 เป็นต้นมา ชาวกัมพูชาทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในสหกรณ์ชนบท ซึ่งหมายถึงประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ ได้รับการจัดแบ่งสถานภาพใหม่ให้อยู่ใน 3 กลุ่ม ได้แก่ สมาชิกสิทธิเต็ม สมาชิกผู้สมัคร และผู้ฝากตัวไว้กับสหกรณ์[ 242] สมาชิกสิทธิเต็มซึ่งส่วนมากเป็นชาวนาผู้ยากจนหรือชนชั้นกลางระดับล่าง มีสิทธิได้รับปันส่วนอาหารเต็มจำนวน สามารถดำรงตำแหน่งทางการเมืองภายในสหกรณ์ และเข้าร่วมทั้งกองทัพและพรรคคอมมิวนิสต์ได้[ 242] ส่วนสมาชิกผู้สมัครยังคงสามารถดำรงตำแหน่งทางปกครองระดับล่างได้[ 242] การบังคับใช้ระบบสามส่วนนี้ไม่เป็นไปอย่างเสมอภาคทั่วประเทศ หากแต่นำไปใช้ในแต่ละพื้นที่ไม่พร้อมกัน[ 242] ในทางปฏิบัติ การแบ่งแยกทางสังคมพื้นฐานยังคงอยู่ระหว่าง "ประชาชนฐานราก" กับ "ประชาชนใหม่"[ 242] อย่างไรก็ดี มิใช่ความตั้งใจของพล พต และพรรคที่จะกำจัด "ประชาชนใหม่" ทั้งหมด แม้กลุ่มดังกล่าวจะได้รับการปฏิบัติอย่างรุนแรงอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งได้ทำให้นักวิชาการบางส่วนเชื่อว่ารัฐบาลมีเจตนาจะทำลายล้าง[ 242] แต่แท้จริงแล้ว พล พต ประสงค์จะเพิ่มจำนวนประชากรของประเทศขึ้นเป็น 2 หรือ 3 เท่า โดยคาดหวังว่าประชากรจะขยายตัวไปถึง 15 ถึง 20 ล้านคนภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งทศวรรษ[ 243]
ภายในสหกรณ์หมู่บ้าน กองกำลังติดอาวุธเขมรแดงได้สังหารชาวกัมพูชาที่พวกเขามองว่าเป็น "องค์ประกอบอันเลวร้าย" อยู่เป็นประจำ[ 244] ถ้อยคำที่เขมรแดงมักกล่าวแก่ผู้ที่ถูกประหาร คือ "เก็บคุณไว้ก็ไม่มีประโยชน์ ทำลายคุณไปก็ไม่มีความเสียหาย"[ 245] ร่างของผู้ถูกสังหารมักฝังไว้ตามทุ่งนาเพื่อให้เป็นปุ๋ยบำรุงดิน[ 244] ในช่วงปีแรกแห่งการปกครองของเขมรแดง พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศยังคงสามารถหลีกเลี่ยงภาวะอดอยากได้ แม้จะมีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นอย่างมากจากการอพยพผู้คนออกจากเมืองก็ตาม อย่างไรก็ตาม ก็มีข้อยกเว้นในบางพื้นที่ เช่น เขตตะวันตกเฉียงเหนือ และพื้นที่ด้านตะวันตกของจังหวัดกำปงฉนัง ซึ่งได้เกิดภาวะอดอยากขึ้นใน พ.ศ. 2518[ 246]
คณะกรรมการถาวรชุดใหม่มีคำสั่งให้ประชาชนทำงานติดต่อกันเป็นเวลา 10 วัน และหยุดพักเพียง 1 วัน ซึ่งเป็นระบบที่จำลองมาจากที่ใช้หลังการปฏิวัติฝรั่งเศส[ 243] ได้มีมาตรการชี้นำความคิดแก่ผู้ที่อาศัยอยู่ในสหกรณ์ โดยกำหนดถ้อยคำตายตัวเกี่ยวกับการทำงานหนักและความรักชาติกัมพูชา เผยแพร่ผ่านทางเครื่องกระจายเสียงหรือวิทยุ[ 247] นอกจากนี้ ยังมีการบัญญัติศัพท์ใหม่ และปรับเปลี่ยนถ้อยคำในชีวิตประจำวัน เพื่อปลูกฝังแนวคิดแบบรวมหมู่ โดยส่งเสริมให้ชาวกัมพูชาใช้คำว่า "พวกเรา" ซึ่งเป็นสรรพนามพหูพจน์ แทนที่จะใช้คำว่า "ฉัน" ที่เป็นสรรพนามเอกพจน์[ 248] ในขณะทำงานในทุ่งนา ประชาชนมักได้รับการแบ่งแยกกันตามเพศสภาพ[ 249] กีฬาเป็นสิ่งต้องห้าม[ 249] สื่อสิ่งพิมพ์ที่ประชาชนได้รับอนุญาตให้อ่านได้ มีเพียงสิ่งพิมพ์ที่จัดทำโดยรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนังสือพิมพ์ปฏิวัติ (Padevat ) เท่านั้น[ 249] อีกทั้งยังมีการจำกัดเสรีภาพในการเดินทาง โดยประชาชนจะสามารถเดินทางได้ก็ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่เขมรแดงในท้องถิ่นเท่านั้น[ 250]
กัมพูชาประชาธิปไตย: พ.ศ. 2519–2522[ แก้ ] ธงชาติกัมพูชาประชาธิปไตย ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2519 ได้มีการประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งระบุว่าประเทศจะเปลี่ยนชื่อเป็น "กัมพูชาประชาธิปไตย "[ 251] รัฐธรรมนูญฉบับนี้ยืนยันสิทธิในความเป็นเจ้าของของรัฐต่อปัจจัยการผลิต ประกาศความเท่าเทียมระหว่างชายและหญิง รวมทั้งสิทธิและหน้าที่ของประชาชนทุกคนในการทำงาน[ 251] นอกจากนี้ ยังกำหนดให้ประเทศปกครองโดยคณะผู้บริหารสูงสุด 3 คน โดยในขณะนั้น พล พต และผู้นำเขมรแดงคาดหวังว่าสมเด็จพระนโรดม สีหนุ จะเข้ารับตำแหน่งหนึ่งในสามผู้บริหารสูงสุด[ 251] อย่างไรก็ตาม พระองค์กลับทรงรู้สึกไม่สบายพระทัยกับรัฐบาลชุดใหม่นี้มากขึ้น และในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2519 ทรงลาออกจากตำแหน่งประมุขของรัฐ แม้พล พต จะพยายามโน้มน้าวพระองค์อย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่สำเร็จที่จะให้พระองค์เปลี่ยนพระทัย[ 252] สมเด็จพระนโรดม สีหนุ ทรงร้องขออนุญาตเดินทางไปประเทศจีน โดยอ้างเหตุผลเพื่อเข้ารับการรักษาพระพลานามัย แต่คำขอนั้นถูกปฏิเสธ พระองค์จึงทรงประทับอยู่ในพระราชวัง ซึ่งมีเสบียงและสิ่งของเพียงพอให้ทรงดำเนินพระชนม์ชีพอย่างหรูหราตลอดสมัยเขมรแดง[ 253]
การปลดสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ออกจากตำแหน่งยุติข้ออ้างที่ว่ารัฐบาลเขมรแดงเป็นแนวร่วมที่เป็นเอกภาพ[ 254] ด้วยการที่สมเด็จพระนโรดม สีหนุ ทรงไม่อยู่ในรัฐบาลอีกต่อไป รัฐบาลพล พต จึงประกาศว่า "การปฏิวัติแห่งชาติ" ได้สิ้นสุดลง และ "การปฏิวัติสังคมนิยม" ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ทำให้ประเทศก้าวสู่ระบอบคอมมิวนิสต์แท้จริงอย่างรวดเร็วที่สุด[ 255] พล พต กล่าวถึงรัฐใหม่ว่าเป็น "แบบอย่างอันทรงคุณค่าสำหรับมวลมนุษยชาติ" โดยมีจิตวิญญาณปฏิวัติที่เหนือกว่าขบวนการสังคมนิยมปฏิวัติในอดีต[ 255] ในช่วงทศวรรษ 1970 คอมมิวนิสต์ทั่วโลกอยู่ในจุดที่เข้มแข็งที่สุดในประวัติศาสตร์[ 256] และพล พต ได้นำตัวอย่างกัมพูชาเสนอเป็นแบบอย่างที่ขบวนการปฏิวัติอื่นควรปฏิบัติตาม[ 257]
ในฐานะผู้บริหารสูงสุดของคณะใหม่ พล พต ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของประเทศ[ 258] และในช่วงเวลานี้เองที่เขาใช้นามแฝงว่า "พล พต" อย่างเปิดเผย[ 258] เนื่องจากไม่มีใครในประเทศรู้จักชื่อดังกล่าว จึงมีการสร้างชีวประวัติเท็จขึ้นมาเพื่อนำเสนอตนเอง[ 259] พันธมิตรคนสำคัญของพล พต ดำรงตำแหน่งอีก 2 ตำแหน่ง โดยนวน เจีย เป็นประธานคณะกรรมการถาวรของสมัชชาแห่งชาติ และเขียว สัมพัน เป็นประมุขแห่งรัฐ [ 260] โดยหลักการแล้ว คณะกรรมการถาวรของเขมรแดงตัดสินใจบนพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตยแบบรวมศูนย์[ 261] แต่ในความเป็นจริงระบบมีความเป็นเผด็จการ โดยการตัดสินใจส่วนมากขึ้นอยู่กับพล พต[ 261] รัฐสภาที่ได้มีการเลือกตั้งในปีก่อนหน้านั้นไม่เคยจัดการประชุมเลยหลัง พ.ศ. 2519[ 229] ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2519 พล พต เปิดเผยต่อสาธารณะว่า "อังการ์" หรือ "องค์กร" ซึ่งเป็นองค์กรลับที่มีอำนาจสูงสุด เป็นองค์กรตามแบบลัทธิมากซ์–เลนิน[ 262] และในเดือนกันยายน พ.ศ. 2520 ที่การชุมนุมในสนามกีฬาโอลิมปิก พล พต ได้เปิดเผยว่า "อังการ์" เป็นนามแฝงของพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา[ 263] ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2519 มีการประกาศว่า พล พต ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และนวน เจีย จะเข้าดำรงตำแหน่งแทน แต่ในความเป็นจริงเขายังคงอยู่ในอำนาจ และกลับมาดำรงตำแหน่งเดิมในเดือนตุลาคม[ 264] ซึ่งอาจเป็นยุทธวิธีเบี่ยงเบนความสนใจจากรัฐบาลเวียดนาม ขณะเดียวกันพล พต กำลังกำจัดสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาที่เขาสงสัยว่ามีแนวโน้มสนับสนุนเวียดนาม[ 265] แม้เขมรแดงจะอ้างตนเป็นผู้นิยมลัทธิ–เลนิน แต่กลับพยายามทำลายชนชั้นแรงงาน เนื่องจากถือว่าเป็น "ซากปรักหักพังอันเสื่อมทรามในอดีต"[ 266] นอกจากนี้ ใน พ.ศ. 2520 เขมรแดงยังสละแนวคิดคอมมิวนิสต์ โดยเอียง ซารี กล่าวว่า "เราไม่ใช่คอมมิวนิสต์ ... เราเป็นนักปฏิวัติ [ซึ่งไม่ได้เป็น] ซี่งอยู่ในกลุ่มคอมมิวนิสต์อินโดจีนที่เป็นที่ยอมรับทั่วไป"[ 267]
มาตรฐานการปฏิวัติ [บอลเชวิค] เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2460 มีความสูงส่งเป็นอย่างมาก แต่ครุชชอฟกับดึงสิ่งนั้นลงมา มาตรฐานการปฏิวัติ [จีน] ของเหมาใน พ.ศ. 2492 ยังคงสูงส่งมาจนถึงปัจจุบัน แต่ได้จางลงและเริ่มสั่นคลอน ไม่มั่นคงเช่นเดิม ส่วนมาตรฐานการปฏิวัติ [กัมพูชา] เมื่อวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2518 ซึ่งสหายพล พต ยกขึ้นมาให้สูงส่งนั้น เป็นดั่งแสงสีแดงอันเจิดจ้า เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น มั่นคงและชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง ทั้งโลกชื่นชมเรา สรรเสริญเรา และเรียนรู้จากเรา
— พล พต[ 268]
มีการเรียกประชากรกัมพูชาอย่างเป็นทางการว่า "ชาวกัมพูชา" แทนที่จำใช้คำว่า "ชาวเขมร" เพื่อหลีกเลี่ยงการเจาะจงชาติพันธุ์ที่เกี่ยวข้องกับคำหลัง[ 269] ภาษาเขมรที่รัฐบาลเรียกว่า "ภาษากัมพูชา" เป็นภาษาที่ได้รับการรับรองทางกฎหมายเพียงภาษาเดียว และกลุ่มชนชาวเขมรเชื้อสายจีนไม่สามารถใช้ภาษาจีนที่พวกเขาใช้กันทั่วไปได้[ 249] นอกจากนี้ ยังมีการกดดันชาวจามให้ปรับตัวกลมกลืนเข้ากับวัฒนธรรมประชากรเขมรกลุ่มใหญ่[ 249]
พล พต ริเริ่มโครงการชลประทานขนาดใหญ่ทั่วประเทศ[ 270] เช่น ในเขตตะวันออกได้มีการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่[ 270] แต่กระนั้น โครงการชลประทานจำนวนมากประสบความล้มเหลวมเนื่องจากขาดความชำนาญทางเทคนิคของแรงงาน[ 270]
คณะกรรมการถาวรเห็นชอบให้รวมหมู่บ้านหลายแห่งเข้าด้วยกันเป็นสหกรณ์ขนาด 500 ถึง 1,000 ครัวเรือน โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างหน่วยคอมมูนขนาดใหญ่ซึ่งมีขนาดเป็น 2 เท่าของสหกรณ์เหล่านี้ต่อไป[ 229] รวมถึงยังมีการจัดตั้งครัวรวมเพื่อให้สมาชิกทุกคนในคอมมูนมารับประทานอาหารร่วมกัน แทนที่จะรับประทานอาหารในบ้านของตนเอง[ 271] มีการสั่งห้ามการหาอาหารหรือล่าสัตว์ เพราะถือเป็นพฤติกรรมแบบเฉพาะบุคคล[ 272] นับตั้งแต่ฤดูร้อน พ.ศ. 2519 รัฐบาลสั่งให้เด็กที่มีอายุมากกว่า 7 ปี อาศัยอยู่ร่วมกันแบบคอมมูนกับครูของเขมรแดง แทนที่จะอยู่กับพ่อแม่[ 273] สหกรณ์ผลิตอาหารได้น้อยกว่าที่รัฐบาลคาดคิด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแรงจูงใจของแรงงานต่ำ และแรงงานที่แข็งแรงที่สุดถูกส่งไปทำงานในโครงการชลประทาน[ 274] เจ้าหน้าที่พรรคจำนวนมากอ้างว่าตนสามารถผลิตอาหารตามเป้าหมายของรัฐบาลได้เพื่อหลีกเลี่ยงคำวิจารณ์[ 275] ซึ่งรัฐบาลก็รับทราบเรื่องนี้ และจนถึงปลาย พ.ศ. 2519 พล พต จึงออกมายอมรับว่ามีปัญหาการขาดแคลนอาหารในพื้นที่สามในสี่ของประเทศ[ 275]
สมาชิกเขมรแดงได้รับสิทธิพิเศษที่ประชาชนทั่วไปไม่ได้รับ โดยสมาชิกพรรคได้รับอาหารที่ดีกว่า[ 276] ขณะที่แกนนำบางคนสามารถเข้าถึงซ่องลับ[ 277] สมาชิกคณะกรรมการกลางสามารถเดินทางไปประเทศจีนเพื่อรับการรักษาสุขภาพ[ 278] และสมาชิกระดับสูงสุดของพรรคสามารถบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือยนำเข้าได้[ 272]
การกวาดล้างและประหารชีวิต[ แก้ ] เขมรแดงได้แบ่งแยกประชาชนตามศาสนาและชาติพันธุ์ ภายใต้การนำของพล พต เขมรแดงได้ประกาศนโยบายไม่เชื่อในพระเจ้า ของรัฐ[ 279] โดยมองพระภิกษุว่าเป็นปรสิตทางสังคมและได้กำหนดให้อยู่ใน "ชนชั้นพิเศษ" หนึ่งปีภายหลังชัยชนะของเขมรแดงในสงครามกลางเมือง พระภิกษุทั่วประเทศถูกส่งไปใช้แรงงานทั่วไปในสหกรณ์ชนบทและโครงการชลประทาน[ 249] แม้เขมรแดงจะมีแนวคิดที่ปฏิเสธสัญลักษณ์และสถาบันดั้งเดิม แต่โบราณสถานหลายแห่งยังคงไม่ถูกทำลาย[ 280] รัฐบาลพล พต ยังคงถือเอาอาณาจักรเมืองพระนคร เป็นจุดอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ เช่นเดียวกับรัฐบาลก่อนหน้า[ 214]
อย่างไรก็ตาม มีการลุกฮือประปรายต่อต้านรัฐบาลพล พต รวมถึงผู้บัญชาการเขมรแดงเขตตะวันตกหรือเกาะกง พร้อมผู้ติดตาม เริ่มเปิดการโจมตีเป้าหมายของรัฐบาลตามแนวชายแดนไทยในระดับย่อย[ 281] นอกจากนี้ ยังเกิดกบฏในหมู่บ้านชาวจามหลายแห่ง[ 281] ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2519 เกิดเหตุระเบิดทำลายคลังอาวุธที่จังหวัดเสียมราฐ ซึ่งพล พต สงสัยว่านายทหารระดับสูงมีส่วนเกี่ยวข้อง แม้ไม่มีหลักฐานยืนยัน แต่เขายังคงสั่งจับกุมนายทหารจำนวนมาก[ 282]
โรงเรียนต็วลแซลง หรือเรือนจำความมั่นคงที่ 21 ที่ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นศัตรูของรัฐบาลถูกทรมานและสังหาร ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2519 สมาชิกพรรคหลายคนถูกจับกุมและถูกกล่าวหาว่าสมคบคิดกับเวียดนามเพื่อโค่นล้มรัฐบาลพล พต[ 283] ตลอดหลายเดือนถัดมา จำนวนผู้ถูกจับกุมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลสร้างข้อกล่าวหาเรื่องความพยายามลอบสังหารแกนนำระดับสูงขึ้นมา เพื่อใช้เป็นเหตุผลในการปราบปรามภายในพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา[ 284] มีการปรักปรำสมาชิกพรรคว่าเป็นสายลับให้แก่ซีไอเอ เคจีบี ของสหภาพโซเวียต หรือเวียดนาม[ 285] สมาชิกพรรตได้รับแรงกดดันให้รับสารภาพต่อข้อกล่าวหา โดยมักเผชิญกับการทรมานหรือการข่มขู่จะทรมาน ซึ่งคำสารภาพเหล่านี้จะมีการนำไปอ่านในที่ประชุมพรรค[ 286] นอกจากพื้นที่รอบกรุงพนมเปญแล้ว แกนนำพรรคที่ได้รับความไว้วางใจยังถูกส่งไปตามภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศเพื่อเริ่มต้นการกวาดล้างสมาชิกพรรคเพิ่มเติม[ 287]
เขมรแดงได้ดัดแปลงอาคารโรงเรียนมัธยมที่ถูกทิ้งร้างในเขตต็วลแซลง กรุงพนมเปญ ให้เป็นเรือนจำความมั่นคงซึ่งรู้จักกันในชื่อ "เอส-21 " โดยอยู่ในความรับผิดชอบของซน เซน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม[ 288] จำนวนผู้ถูกจองจำในเรือนจำเอส-21 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามกระบวนการกวาดล้างภายในพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา โดยในช่วงครึ่งแรกของ พ.ศ. 2519 มีผู้ถูกจองจำประมาณ 400 คน ส่วนครึ่งหลังของปีนั้นเพิ่มขึ้นเกือบ 1,000 คน จนกระทั่งถึงฤดูใบไม้ผลิ พ.ศ. 2520 มีผู้ถูกจองจำถึงเดือนละราว 1,000 คน[ 289] ตลอดระยะเวลาที่เขมรแดงปกครอง มีผู้ถูกสังหารที่เรือนจำเอส-21 ประมาณ 15,000–20,000 คน[ 289] ในจำนวนนี้มีชาวตะวันตกประมาณสิบกว่าคน[ 290] พล พต ไม่เคยมาเยี่ยมเยือนเรือนจำเอส-21 ด้วยตนเองเลย[ 291]
ตั้งแต่ปลาย พ.ศ. 2519 เป็นต้นมา โดยเฉพาะช่วงกลาง พ.ศ. 2520 ความรุนแรงในกัมพูชาประชาธิปไตยทวีความรุนแรงขึ้น โดยปรากฏอย่างชัดเจนในระดับหมู่บ้าน[ 292] ในพื้นที่ชนบท แกนนำเยาวชนจำนวนมากเป็นผู้ลงมือสังหารประชาชน เนื่องจากเชื่อว่ากำลังปฏิบัติตามเจตจำนงของรัฐบาล[ 293] แกนนำชาวนาทำการทรมานและสังหารสมาชิกในชุมชนของตนเองที่ไม่ชอบใจ หลายครั้งแกนนำได้กินตับของผู้ถูกสังหาร และผ่าทารกออกจากครรภ์มารดาเพื่อนำไปใช้เป็นเครื่องรางกูนกร็อก [ 291] แกนนำส่วนกลางของพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาทราบถึงพฤติกรรมเหล่านี้ แต่ไม่ดำเนินการเพื่อยุติใด ๆ[ 291] ใน พ.ศ. 2520 ความรุนแรงที่ก่อตัวมากขึ้น ประกอบกับสภาวะอาหารขาดแคลน สร้างความสิ้นหวังแม้แต่ในกลุ่มมวลชนหลักที่เคยสนับสนุนเขมรแดง[ 291] จำนวนชาวกัมพูชาที่พยายามหลบหนีเข้าสู่ประเทศไทยและเวียดนามจึงเพิ่มขึ้น[ 294] ในฤดูใบไม้ร่วงปีเดียวกัน พล พต ประกาศว่าการกวาดล้างสิ้นสุดลงแล้ว[ 295] ตามการประมาณของพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาเอง ภายในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2520 มีการสังหารสมาชิกพรรคประมาณ 4,000 ถึง 5,000 คน เนื่องจากเป็น "สายลับศัตรู" หรือ "บุคคลอันตราย"[ 295]
ใน พ.ศ. 2521 รัฐบาลเริ่มต้นการกวาดล้างครั้งที่สอง ซึ่งมีการกล่าวหาและสังหารชาวกัมพูชาหลายหมื่นคนว่าเป็นผู้ฝักใฝ่เวียดนาม[ 296] โดยในช่วงเวลานี้ เขมรแดงกำจัดสมาชิกพรรคที่เหลืออยู่ซึ่งเคยพำนักที่ฮานอย รวมทั้งบุตรหลานของพวกเขาทั้งหมด[ 297] ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2521 พล พต ได้ประกาศให้สหายร่วมพรรคใช้คำขวัญว่า "ชำระล้างพรรค! ชำระล้างกองทัพ! ชำระล้างแกนนำ!"[ 298]
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ[ แก้ ] พล พต พบกับนีกอลาเอ ชาวูเชสกู ผู้นำคอมมิวนิสต์โรมาเนีย ระหว่างการเยือนกัมพูชาใน พ.ศ. 2521 ในเชิงภาพลักษณ์ ความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชากับเวียดนามค่อนข้างอบอุ่นภายหลังการสถาปนากัมพูชาประชาธิปไตย และหลังจากเวียดนามรวมประเทศสำเร็จในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2519 รัฐบาลกัมพูชาได้ส่งสารแสดงความยินดี[ 299] แต่โดยลับหลังแล้ว ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศกลับเริ่มเสื่อมถอยลง โดยในสุนทรพจน์วาระครบรอบหนึ่งปีแห่งชัยชนะในสงครามกลางเมือง เขียว สัมพัน ได้เรียกเวียดนามว่าเป็นพวกจักรวรรดินิยม[ 300] ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2519 มีการเจรจาเพื่อกำหนดพรมแดนอย่างเป็นทางการระหว่างสองประเทศ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ[ 300]
เมื่อเขมรแดงขึ้นสู่อำนาจ ก็ได้ปฏิเสธการพึ่งพารัฐตะวันตกและสหภาพโซเวียต[ 301] แต่หันไปพึ่งพาจีนในฐานะพันธมิตรระหว่างประเทศหลักแทน[ 302] เนื่องจากเวียดนามเริ่มใกล้ชิดกับสหภาพโซเวียตมากกว่าจีน รัฐบาลจีนมองว่ารัฐบาลพล พต เป็นปราการต้านอิทธิพลของเวียดนามในอินโดจีน[ 303] เหมา เจ๋อตง ให้คำมั่นว่าจะมอบความช่วยเหลือทางทหารและเศรษฐกิจแก่กัมพูชามูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมทั้งเงินสนับสนุนทันที 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[ 304] นอกจากนี้ ยังส่งที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญทางทหารชาวจีนหลายพันคนเข้ามาช่วยเหลือโครงการต่าง ๆ เช่น การก่อสร้างท่าอากาศยานทหารกำปงฉนัง [ 305] อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลจีนกับกัมพูชายังเต็มไปด้วยความหวาดระแวงซึ่งกันและกัน จีนแทบไม่มีอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบายภายในประเทศของพล พต[ 306] แต่กลับมีอิทธิพลต่อการดำเนินนโยบายระหว่างประเทศของกัมพูชา โดยผลักดันให้ประเทศหันมาสานสัมพันธ์กับไทย และเปิดการสื่อสารกับสหรัฐอเมริกาเพื่อใช้เป็นกลยุทธ์ต่อต้านอิทธิพลของเวียดนามในภูมิภาค[ 307]
หลังการถึงแก่อสัญกรรมของเหมา เจ๋อตง ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2519 พล พต ได้กล่าวยกย่องเหมา และรัฐบาลกัมพูชาประกาศไว้ทุกข์อย่างเป็นทางการ[ 262] ในเดือนพฤศจิกายน ปีเดียวกัน พล พต ได้เดินทางอย่างลับ ๆ ไปยังกรุงปักกิ่งเพื่อธำรงพันธมิตรกับจีน ภายหลังการจับกุมแก๊งสี่คน [ 265] จากนั้นเจ้าหน้าที่จีนพาเขาไปเยี่ยมชมสถานที่ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเหมาและพรรคคอมมิวนิสต์จีน[ 308] จีนเป็นประเทศเดียวที่ยังคงได้รับอนุญาตให้ใช้สถานเอกอัครราชทูตเดิมในกรุงพนมเปญ[ 251] ส่วนคณะทูตประเทศอื่นได้รับการจัดให้อยู่อาศัยในเขตที่กำหนดไว้บริเวณถนนมุนีวงศ์ ซึ่งมีการปิดกั้นเส้นทาง และห้ามนักการทูตออกไปโดยปราศจากเจ้าหน้าที่คุ้มกัน จะมีการนำอาหารมาส่งถึงที่พำนัก และจัดหาผ่านร้านค้าแห่งเดียวที่ยังคงเปิดทำการในประเทศ[ 309] พล พต มองว่าเขมรแดงควรเป็นต้นแบบให้กับขบวนการปฏิวัติในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เขาจึงสร้างความสัมพันธ์กับผู้นำลัทธิมากซ์จากพม่า อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย โดยอนุญาตให้กลุ่มคอมมิวนิสต์ไทยตั้งฐานที่มั่นตามแนวชายแดนกัมพูชา–ไทย[ 256] ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2520เนวี่น ประธานาธิบดีพม่า เป็นหัวหน้ารัฐบาลต่างประเทศคนแรกที่เดินทางเยือนกัมพูชาประชาธิปไตย และต่อมาไม่นานนีกอลาเอ ชาวูเชสกู ประธานาธิบดีโรมาเนีย ก็ได้เดินทางมาเยือนเช่นกัน[ 310]
กะโหลกศีรษะของเหยื่อที่เขมรแดงสังหาร หลุมศพรวมที่เจิงเอก เบน เคียร์แนน ประมาณการว่ามีชาวกัมพูชาเสียชีวิตจากนโยบายของเขมรแดงราว 1.671 ถึง 1.871 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 21 ถึง 24 ของประชากรกัมพูชาใน พ.ศ. 2518[ 311] มาแร็ก สลีวินสกี นักประชากรศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ได้ศึกษาคำนวณและพบว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างผิดธรรมชาติเกือบ 2 ล้านคน จากประชากรทั้งหมด 7.8 ล้านคนในปีเดียวกัน โดยมีผู้ชายเสียชีวิตร้อยละ 33.5 ขณะที่ผู้หญิงเสียชีวิตร้อยละ 15.7[ 312] งานวิชาการที่ตีพิมพ์ใน พ.ศ. 2544 ระบุว่าตัวเลขที่วงวิชาการยอมรับมากที่สุดเกี่ยวกับผู้เสียชีวิตเกินปกติในยุคเขมรแดงอยู่ระหว่าง 1.5 ถึง 2 ล้านคน แม้บางการประมาณจะต่ำเพียง 1 ล้านคน หรือสูงถึง 3 ล้านคน โดยจำนวนผู้เสียชีวิตจากการประหารชีวิตของเขมรแดงที่ยอมรับกันทั่วไปอยู่ในช่วง 500,000 ถึง 1 ล้านคน หรือประมาณ "หนึ่งในสามถึงครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมดในช่วงเวลาดังกล่าว"[ 313] อย่างไรก็ตาม แหล่งข้อมูลทางวิชาการเมื่อ พ.ศ. 2556 (อ้างอิงจากงานวิจัยเมื่อ พ.ศ. 2552) ชี้ให้เห็นว่าการประหารชีวิตอาจคิดเป็นสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 60 ของยอดรวมทั้งหมด โดยพบหลุมศพรวมจำนวน 23,745 หลุม ซึ่งเชื่อว่ามีผู้ถูกสังหารราว 1.3 ล้านคน[ 314]
แม้ว่าตัวเลขการประหารชีวิตจะสูงกว่าการประมาณที่แพร่หลายและเป็นที่ยอมรับในระยะก่อน แต่เคร็ก เอตเชอสัน จากศูนย์เอกสารกัมพูชา (Documentation Center of Cambodia) ได้ออกมาปกป้องการประมาณดังกล่าวว่า "มีความเป็นไปได้ เนื่องจากลักษณะของหลุมศพรวมและวิธีการของศูนย์เอกสารมีแนวโน้มที่จะนับศพต่ำกว่าความเป็นจริงมากกว่าการประมาณเกินจริง"[ 315] นักประชากรศาสตร์ แพทริก ฮิวเวลีน ประมาณการว่ามีชาวกัมพูชาเสียชีวิตอย่างผิดธรรมชาติระหว่าง พ.ศ. 2513–2522 ราว 1.17 ถึง 3.42 ล้านคน โดยในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิตจากสงครามกลางเมืองระหว่าง 150,000–300,000 คน ตัวเลขประมาณการหลักของเขาคือผู้เสียชีวิตส่วนเกิน 2.52 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนั้นราว 1.4 ล้านคน เสียชีวิตจากความรุนแรงโดยตรง[ 313] [ 315] อย่างไรก็ดี ตัวเลข 3.3 ล้านคน ที่เผยแพร่โดยสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชา ซึ่งเป็นรัฐบาลสืบทอดอำนาจจากเขมรแดง แม้จะอ้างอิงจากการสำรวจแบบบ้านต่อบ้าน แต่โดยทั่วไปแล้วถือว่าเป็นข้อมูลเกินจริง ทั้งนี้ เนื่องจากข้อผิดพลาดเชิงวิธีการหลายประการ เช่น การที่เจ้าหน้าที่สาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชานำจำนวนศพที่ประเมินจากหลุมศพรวมที่ถูกขุดขึ้นเพียงบางส่วนมาบวกเข้ากับผลสำรวจ ทำให้เกิดการนับเหยื่อซ้ำบางราย[ 315]
นอกจากนี้ ยังมีการประมาณว่า ชาวกัมพูชาราว 300,000 คน เสียชีวิตจากความอดอยากในช่วง พ.ศ. 2522–2523 ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องโดยตรงจากนโยบายของเขมรแดง[ 316]
การล่มสลายของกัมพูชาประชาธิปไตย[ แก้ ] ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2519 ที่ประชุมใหญ่ประจำปีของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาได้เสนอให้ประเทศเตรียมพร้อมต่อสงครามกับเวียดนามที่อาจเกิดขึ้น[ 308] พล พต เชื่อว่าเวียดนามมีความมุ่งหมายในการขยายอำนาจและเป็นภัยคุกคามต่อเอกราชของกัมพูชา[ 317] ช่วงต้น พ.ศ. 2520 การปะทะบริเวณชายแดนระหว่างกัมพูชากับเวียดนามปะทุขึ้นอีกครั้งและดำเนินต่อไปจนถึงเดือนเมษายน[ 294] โดยเมื่อวันที่ 30 เมษายน กองกำลังกัมพูชาพร้อมการสนับสนุนจากปืนใหญ่ ได้บุกเข้าไปในเวียดนามและโจมตีหมู่บ้านหลายแห่ง ส่งผลให้พลเรือนเวียดนามหลายร้อยคนต้องเสียชีวิตจากการสังหาร[ 294] เวียดนามจึงตอบโต้ด้วยการสั่งกองทัพอากาศทิ้งระเบิดใส่ฐานที่มั่นชายแดนของกัมพูชา[ 294] ไม่กี่เดือนต่อมา การสู้รบกลับมาดำเนินอีกครั้ง โดยในเดือนกันยายน กองพล 2 กอง จากเขตตะวันออกของกัมพูชาบุกเข้าสู่จังหวัดเต็ยนิญ ของเวียดนาม และโจมตีหมู่บ้านหลายแห่งพร้อมสังหารชาวบ้านอย่างโหดร้าย[ 318] ในเดือนเดียวกัน พล พต ได้เดินทางไปยังกรุงปักกิ่ง และจากนั้นไปต่อยังเกาหลีเหนือ ซึ่งคิม อิล-ซ็อง ได้กล่าวแสดงท่าทีต่อต้านเวียดนาม เพื่อแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับเขมรแดง[ 319]
รูปปั้นครึ่งตัวของพล พต ที่สร้างขึ้นด้วยความคาดหมายในการสร้างลัทธิบูชาบุคคล ซึ่งท้ายที่สุดแล้วก็ไม่เคยนำมาปฏิบัติจริง รูปปั้นดังกล่าวได้รับการจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ต็วลแซลง ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2520 เวียดนามส่งกำลังทหาร 50,000 นาย ข้ามพรมแดนตามแนวระยะทาง 100 ไมล์ ลึกเข้ามาในกัมพูชาราว 12 ไมล์[ 320] ภายหลังกัมพูชาจึงประกาศตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับเวียดนามอย่างเป็นทางการ[ 321] กองทัพกัมพูชาตอบโต้การรุกราน จนกระทั่งกองทัพเวียดนามถอยกลับไปเมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2521[ 322] ขณะนี้ พล พต สั่งการให้กองทัพกัมพูชาดำเนินท่าทีเชิงรุกและโจมตีเวียดนามก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามมีโอกาสลงมือก่อน[ 323] ในช่วงเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2521 กองทัพกัมพูชาได้เปิดการโจมตีหมู่บ้านหลายแห่งในเวียดนาม[ 324] โปลิตบูโร เวียดนามจึงมีความเห็นตรงกันว่า ไม่อาจปล่อยให้พล พต คงอำนาจต่อไป แต่จำเป็นต้องโค่นล้มเขาก่อนที่กองทัพกัมพูชาจะเสริมกำลังเข้มแข็งยิ่งขึ้น[ 322] ในปีเดียวกันนั้น เวียดนามได้จัดตั้งค่ายฝึกทหารสำหรับผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชาในเวียดนามตอนใต้ เพื่อสร้างแกนกลางสำหรับระบอบการปกครองใหม่ในอนาคต[ 325] ในเวลาเดียวกัน รัฐบาลกัมพูชาได้เตรียมความพร้อมเข้าสู่ภาวะสงคราม โดยวางแผนสร้างลัทธิบูชาบุคคล ที่ยึดพล พต เป็นศูนย์กลาง ตามแบบอย่างจีน และเกาหลีเหนือ โดยเชื่อว่าการสร้างลัทธิดังกล่าวจะช่วยหลอมรวมประชาชนให้เป็นหนึ่งเดียวในยามสงคราม[ 326] เริ่มมีการนำภาพถ่ายขนาดใหญ่ของพล พต ไปติดตั้งในห้องอาหารส่วนกลาง[ 327] ขณะที่มีการสร้างภาพเขียนสีน้ำมันและประติมากรรมครึ่งตัวของเขา[ 328] อย่างไรก็ตาม แผนการสร้างลัทธิดังกล่าวไม่เคยนำมาปฏิบัติ[ 310]
ความล้มเหลวของกองทัพกัมพูชาในเขตตะวันออกต่อการรุกรานของเวียดนาม ทำให้พล พต เริ่มสงสัยในความภักดีของทหารเหล่านั้น[ 297] เขาจึงสั่งการกวาดล้างเขตตะวันออก โดยส่งแกนนำพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชามากกว่า 400 คน ไปยังเรือนจำเอส-21[ 329] เมื่อทหารจำนวนมากในเขตตะวันออกทราบแน่นอนแล้วว่าตนจะถูกประหารตามคำสั่งของพล พต ทหารเหล่านี้จึงเริ่มก่อกบฏต่อต้านรัฐบาลเขมรแดง[ 330] พล พต จึงส่งกำลังเพิ่มเติมเข้าสู่เขตตะวันออกเพื่อปราบปราม พร้อมสั่งให้สังหารชาวบ้านในทุกหมู่บ้านที่อาจสงสัยว่ามีส่วนให้ที่พักพิงแก่กองกำลังกบฏ[ 330] ฟิลิป ชอร์ต กล่าวว่า การปราบปรามในเขตตะวันออกครั้งนี้ถือเป็น "เหตุการณ์ที่นองเลือดที่สุดภายใต้การปกครองของพล พต"[ 330] ผู้นำกบฏหลายคน เช่นเฮง สัมริน และพล ซาเรือน จึงหลบหนีการไล่ล่าของรัฐบาลเข้าสู่เวียดนาม และเข้าร่วมกับชุมชนผู้ลี้ภัยต่อต้านพล พต[ 330] ตลอดเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2521 พล พต ยังคงไว้วางใจเพียงกองกำลังของตา ม็อก ในเขตตะวันตกเฉียงใต้ และของป็วกในเขตตอนกลางเท่านั้น[ 331]
เมื่อต้น พ.ศ. 2521 รัฐบาลพล พต เริ่มพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย เพื่อเสริมความมั่นคงของตนเองในการต่อสู้กับเวียดนาม[ 332] รัฐบาลหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่างแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อสถานการณ์ของกัมพูชา เนื่องจากเกรงผลกระทบจากการขยายอำนาจของเวียดนามและอิทธิพลของสหภาพโซเวียตต่อประเทศของตน[ 333] แม้จีนจะสนับสนุนกัมพูชา แต่รัฐบาลจีนตัดสินใจไม่ส่งกองทัพเข้ามายังกัมพูชา เพราะเกรงว่าการเผชิญหน้าครั้งใหญ่กับเวียดนามอาจนำไปสู่สงครามกับสหภาพโซเวียต[ 334] ในขณะเดียวกัน เวียดนามกำลังวางแผนการรุกรานครั้งใหญ่ต่อกัมพูชา[ 335] และในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2521 ได้มีการก่อตั้ง "แนวร่วมสามัคคีสงเคราะห์ชาติกัมพูชา " ซึ่งประกอบด้วยผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชา โดยมีเป้าหมายจะนำมาแทนที่ระบอบเขมรแดง ในระยะแรก แนวร่วมดังกล่าวมีเฮง สัมริน เป็นผู้นำ[ 336] ด้วยความหวั่นเกรงต่อภัยคุกคามจากเวียดนาม พล พต จึงเขียนเอกสารต่อต้านเวียดนามที่มีชื่อว่า "เอกสารดำ"[ 331]
ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2521 พล พต เริ่มหันไปสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสมเด็จพระนโรดม สีหนุ โดยหวังว่าพระองค์จะเป็นศูนย์รวมในการระดมการสนับสนุนรัฐบาลเขมรแดง[ 337] ในเดือนเดียวกันนั้น พล พต เดินทางไปยังประเทศจีนเพื่อพบกับเติ้ง เสี่ยวผิง[ 338] เติ้งได้ประณามการรุกรานของเวียดนาม แต่ก็ชี้ว่าความขัดแย้งส่วนหนึ่งเกิดจากการที่เขมรแดงใช้นโยบายที่รุนแรงเกินไป และปล่อยให้กองทัพกัมพูชามีพฤติกรรมอย่างไร้ระเบียบตามแนวชายแดนกับเวียดนาม[ 323] เมื่อเดินทางกลับกัมพูชาในเดือนตุลาคม พล พต จึงสั่งให้กองทัพเปลี่ยนยุทธวิธี โดยหันมาใช้แนวทางตั้งรับ วางทุ่นระเบิด เป็นจำนวนมากเพื่อสกัดกั้นการรุกของเวียดนาม อีกทั้งย้ำให้กองทัพหลีกเลี่ยงการปะทะโดยตรงซึ่งจะทำให้สูญเสียหนัก และหันไปใช้สงครามกองโจรแทน[ 339] ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2521 พรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาได้จัดการประชุมใหญ่ครั้งที่ห้า โดยมีการแต่งตั้งตา ม็อก ให้ดำรงตำแหน่งลำดับที่สามของรัฐบาล รองจากพล พต และนวน เจีย[ 340] ไม่นานหลังจากการประชุม สมาชิกระดับสูงสองคนของรัฐบาล ได้แก่ วอน เวต และกง โสพาล ก็ถูกจับกุมและส่งไปยัง เรือนจำเอส-21 ซึ่งนำไปสู่การกวาดล้างครั้งใหม่อีกระลอก[ 340]
การบุกครองของเวียดนาม: พ.ศ. 2521–2522[ แก้ ] เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2521 กองทัพเวียดนามเปิดฉากการบุกครองครั้งใหญ่[ 341] กำลังรบของเวียดนามเคลื่อนพลเข้าสู่กัมพูชาทางตะวันออกเฉียงเหนือ ยึดครองจังหวัดกระแจะ เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม และจังหวัดสตึงแตรง เมื่อวันที่ 3 มกราคม[ 341] ต่อมาเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2522 กำลังหลักของเวียดนามเข้าสู่กัมพูชา โดยเคลื่อนพลไปตามทางหลวงหมายเลข 1 และหมายเลข 7 มุ่งหน้าสู่กรุงพนมเปญ[ 341] กองกำลังแนวหน้าของกัมพูชาไม่สามารถต้านทานได้[ 342] เมื่อการโจมตีกรุงพนมเปญใกล้เข้ามา พล พต จึงสั่งให้สมเด็จพระนโรดม สีหนุ และพระบรมวงศานุวงศ์เสด็จย้ายไปยังประเทศไทยในเดือนมกราคม[ 343] และคณะทูตทั้งหมดก็อพยพตามไปในเวลาไม่นานต่อมาเมื่อวันที่ 7 มกราคม พล พต และผู้นำระดับสูงคนอื่น ๆ ได้ออกจากกรุงพนมเปญไปยังจังหวัดโพธิสัตว์ [ 344] ก่อนจะย้ายต่อไปยังจังหวัดพระตะบอง หลังจากพำนักอยู่สองวัน[ 345]
หลังจากเขมรแดงอพยพออกจากกรุงพนมเปญ ตา ม็อก กลายเป็นผู้นำระดับสูงเพียงคนเดียวที่ยังคงอยู่ในเมือง โดยได้รับมอบหมายให้ดูแลการป้องกัน[ 344] นวน เจีย มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ควบคุมเรือนจำเอส-21 สังหารผู้ถูกคุมขังที่เหลือทั้งหมดก่อนที่กองทัพเวียดนามจะเข้ายึด[ 346] แต่กองกำลังที่ป้องกันกรุงพนมเปญไม่ทราบว่ากองทัพเวียดนามอยู่ใกล้เพียงใด[ 346] รัฐบาลได้ปกปิดความจริงเกี่ยวกับชัยชนะของเวียดนามจากประชาชน[ 347] เมื่อเวียดนามรุกคืบเข้ามา เจ้าหน้าที่และทหารจำนวนมากละทิ้งเมืองหลวง การป้องกันจึงเต็มไปด้วยความโกลาหล[ 348] ขณะเดียวกันก็มีกรณีชาวบ้านบางแห่งลุกขึ้นมาสังหารเจ้าหน้าที่เขมรแดงเพื่อล้างแค้น[ 349] ในเดือนมกราคม เวียดนามได้จัดตั้งรัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของเฮง สัมริน ซึ่งประกอบด้วยอดีตสมาชิกเขมรแดงที่หลบหนีการกวาดล้างเข้ามายังเวียดนาม[ 350] รัฐบาลใหม่นี้ได้เปลี่ยนชื่อประเทศเป็น "สาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชา "[ 351] แม้ชาวกัมพูชาจำนวนมากจะต้อนรับกองทัพเวียดนามในฐานะผู้ปลดปล่อยในระยะแรก แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความไม่พอใจต่อกองทัพผู้ยึดครองก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น[ 350]
เขมรแดงหันไปพึ่งพาจีนเพื่อขอการสนับสนุนในการต่อต้านการบุกครอง เอียง ซารี เดินทางไปประเทศจีนผ่านทางประเทศไทย[ 345] โดยเติ้ง เสี่ยวผิง ได้กระตุ้นให้เขมรแดงทำสงครามกองโจรต่อสู้กับเวียดนาม และจัดตั้งแนวร่วมที่ไม่จำกัดอยู่เพียงคอมมิวนิสต์ โดยให้สมเด็จพระนโรดม สีหนุ มีบทบาทสำคัญ[ 352] จีนส่งเกิ่ง เปียว รองนายกรัฐมนตรี เดินทางมาประเทศไทยเพื่อเจรจาการขนส่งอาวุธให้เขมรแดงผ่านดินแดนไทย[ 353] อีกทั้งยังส่งคณะทูตไปประจำอยู่ในค่ายของเขมรแดงบริเวณชายแดนไทย พล พต ได้พบกับคณะทูตดังกล่าวสองครั้ง ก่อนที่รัฐบาลจีนจะเรียกกลับในเดือนมีนาคมเพื่อความปลอดภัย[ 354] เขมรแดงยังได้ตั้งสถานีวิทยุ "เสียงแห่งกัมพูชาประชาธิปไตย" ในประเทศจีน ซึ่งกลายเป็นช่องทางสื่อสารหลักกับประชาคมโลก[ 345] ในเดือนกุมภาพันธ์จีนเปิดฉากโจมตีเวียดนามทางตอนเหนือ เพื่อดึงกองทัพเวียดนามออกจากการบุกครองกัมพูชา[ 355] นอกจากจีนแล้ว เขมรแดงยังได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกาและประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่ที่มิใช่คอมมิวนิสต์ ซึ่งต่างหวั่นเกรงว่าการรุกรานของเวียดนามจะกลายเป็นเครื่องมือขยายอิทธิพลของสหภาพโซเวียตในภูมิภาค[ 356]
เมื่อวันที่ 15 มกราคม กองทัพเวียดนามเข้าถึงเมืองศรีโสภณ [ 353] พล พต, นวน เจีย, และเขียว สัมพัน จึงเดินทางต่อไปยังจังหวัดไพลิน ทางฝั่งไทย และในช่วงปลายเดือนมกราคมก็ย้ายไปยังเมืองตาสัญ ซึ่งเอียง ซารี ได้มาร่วมด้วย ต่อมาเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ มีการประชุมคณะกรรมการกลาง และตัดสินใจไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำของเติ้งในการจัดตั้งแนวร่วม[ 356] ในช่วงครึ่งหลังของเดือนมีนาคม กองทัพเวียดนามเคลื่อนกำลังเข้าล้อมเขมรแดงตามแนวชายแดนไทย ซึ่งกองกำลังจำนวนมากของพล พต ได้ล่าถอยเข้ามาในดินแดนไทย[ 357] จากนั้นกองทัพเวียดนามก็รุกเข้ายึดเมืองตาสัญ ซึ่งบรรดาผู้นำเขมรแดงเพิ่งอพยพออกไปได้เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า[ 358]