กองกลาง หรือมิดฟีลเดอร์ (อังกฤษ : midfielder ) ในการเล่นฟุตบอล [ 1] คือตำแหน่งกึ่งกลางในสนามระหว่างกองหน้า กับกองหลัง โดยมีหน้าที่ครองบอลและส่งบอลสู่กองหน้า โดยกองกลางบางตำแหน่งเล่นในแนวรับ คอยหยุดการบุกจากฝ่ายตรงข้าม หรือที่เรียกว่า กองกลางตัวรับ หรือในบางตำแหน่งจะคอยสกัดกั้นการเคลื่อนที่ของฝ่ายตรงข้ามและคอยจ่ายบอลไปด้านหน้า หรือที่เรียกว่า กองกลางแนวลึก, กองกลางตัวทำเกม, กองกลางตัวกลาง และ กองกลางตัวคุมเกม โดยจำนวนของกองกลางในแต่ละทีมจะขึ้นอยู่กับแผนการเล่น ในเกมนั้น ซึ่งจะเรียกรวม ๆ ทั้งหมดว่ากองกลาง หรือมิดฟีลเดอร์ [ 2]
ผู้จัดการทีม ส่วนใหญ่ จะใช้กองกลาง 1 คนเพื่อป้องกันการบุกจากฝ่ายตรงข้าม และกองกลางที่เหลือจะคอยช่วยในเกมรุกเพื่อทุกประตู หรืออาจจะเป็นกองกลางที่คอยคุมเกมกลางสนาม ซึ่งกองกลางเป็นตำแหน่งที่จะคอยวิ่งมากที่สุดในสนาม เนื่องจากต้องคอยครองบอลและวิ่งไล่บอลจากฝ่ายตรงข้าม[ 3]
ชาบี อดีตผู้เล่นทีมชาติสเปน ซึ่งเคยได้รับรางวัลฟิฟโปร 8 ปีติดต่อกันกองกลางตัวกลาง (อังกฤษ : central midfielder ) เป็นตำแหน่งของผู้เล่นที่อยู่ตรงกลางระหว่างแนวรุกและแนวรับ มีหน้าที่ควบคุมการเล่นกลางสนาม โดยผู้เล่นในตำแหน่งนี้จะคอยส่งบอล ไปยังกองกลางตัวรุก และช่วยทีมในการเติมเกมรุกโดยวิ่งไปยังพื้นที่เขตโทษ และช่วยยิงประตู
เมื่อทีมฝ่ายตรงข้ามได้บอล กองกลางตัวกลางอาจจะถอยกลับมาช่วยเกมรับหรือช่วยไล่บอลจากฝ่ายตรงข้าม ซึ่งในเกมรับนั้น กองกลางตัวกลางอาจจะช่วยถอยไปยังตำแหน่งของกองหลังตัวกลาง เพื่อป้องกันลูกยิงไกลจากฝ่ายตรงข้าม หรืออาจจะวิ่งประกอบกองกลางฝ่ายตรงข้ามไม่ให้ทำการยิงจากระยะไกลได้
โดยแผน4–3–3 และ4–5–1 ส่วนใหญ่จะใช้กองกลางตัวกลาง 3 คน ส่วน4–4–2 ส่วนใหญ่จะใช้กองกลางตัวกลาง 2 คน[ 4] และในแผน4–2–3–1 จะใช้กองกลางตัวลึก 2 คน ซึ่งอาจจะเป็นกองกลางตัวกลางก็ได้เช่นกัน
กองกลางบ็อกซ์ทูบ็อกซ์[ แก้ ] กองกลางบ็อกซ์ทูบ็อกซ์ (อังกฤษ : box-to-box midfielder ) เป็นกองกลางตัวกลางที่คอยวิ่งไล่และมีความสามารถในหลายด้าน ซึ่งจะทำหน้าที่ทั้งคอยตั้งรับและรุกให้กับทีม[ 5] ซึ่งจะทำหน้าที่ตั้งแต่การป้องกันการทำประตูที่กรอบเขตโทษของฝั่งตัวเองและคอยวิ่งเติมเกมไปทำประตูที่ฝั่งตรงข้าม[ 6] โดยในฟุตบอลสมัยใหม่ที่เปลี่ยนจากแผนการเล่น 4–4–2 มาเป็น 4–2–3–1 ทำให้หน้าที่ของกองกลางบ็อกซ์ทูบ็อกซ์เปลี่ยนไปจากเดิมที่มีอยู่ตั้งแต่ยุค 80 โดยกองกลางตัวกลาง 2 คนนั้นจะแบ่งเป็น "ตัวคุมเกม" กับ "ตัวสร้างสรรค์เกม"[ 7] ตัวอย่างกองกลางบ็อกซ์ทูบ็อกซ์ที่มีชื่อเสียง เช่นบัสทีอัน ชไวน์ชไตเกอร์ ,ยาย่า ตูเร และราจา ไนง์โกลัน
กองกลางตัวซ้าย และกองกลางตัวขวา (อังกฤษ : wide midfielder ) เป็นตำแหน่งที่สมดุลระหว่างเกมรุกและเกมรับ คล้ายกับกองกลางตัวกลาง แต่ตำแหน่งนี้จะอยู่ทางด้านกว้างริมขอบสนาม โดยจะคอยเปิดบอล ไปยังพื้นที่เขตโทษของฝั่งตรงข้าม เพื่อสร้างโอกาสในการทำประตู และเมื่อทีมกำลังเล่นเกมรับ จะคอยกดดันคู่แข่งที่พยายามเปิดบอลเข้ามา[ 8]
แผนการเล่นในยุคใหม่จะมีตำแหน่งกองกลางตัวซ้ายและขวาในแผน4−4−2 ,4−4−1−1 ,4−2−3−1 และ4−5−1 [ 9] ตัวอย่างของกองกลางด้านกว้างที่มีชื่อเสียง เช่นเดวิด เบคแคม และไรอัน กิกส์ [ 10]
แผนการเล่นแบบเมโทโด (2–3–2–3) ซึ่งตำแหน่งกองกลางด้านกว้าง (สีเหลือง) จะมีหน้าที่ช่วยเกมรับและช่วยกองหน้าด้านกว้าง ตำแหน่งวิงฮาล์ฟ (อังกฤษ : wing-half ) ในอดีต จะคอยเล่นเป็นกองกลางด้านข้างสนาม ซึ่งการเล่นในตำแหน่งนี้ล้าสมัย เพราะการป้องกันเป็นส่วนหนึ่งของฟุลแบ็ก ในปัจจุบัน[ 11]
เซร์ฆิโอ บุสเกตส์ กองกลางตัวรับทีมชาติสเปน (เสื้อสีแดง) กำลังเคลื่อนที่ไปป้องกันการยิงของมารีโอ บาโลเตลลี กองกลางตัวรับ (อังกฤษ : defensive midfielder ) เป็นกองกลางที่มีหน้าที่ในการป้องกันการยิงประตูจากฝ่ายตรงข้าม โดยจะคอยคุมตำแหน่งอยู่ด้านหน้ากองหลัง หรือคอยประกบแนวรุกของฝ่ายตรงข้าม[ 12] [ 13] [ 14] กองกลางตัวรับอาจจะย้ายไปยืนในตำแหน่งของฟุลแบ็ก หรือกองหลังตัวกลาง หากผู้เล่นอื่นกำลังเติมเกมรุกอยู่[ 15] [ 16]
เซร์ฆิโอ บุสเกตส์ ได้อธิบายทัศนคติของเขาว่า "หัวหน้าผู้ฝึกสอนรู้ว่าผมเป็นผู้เล่นที่จะคอยช่วยเหลือและต้องวิ่งไปด้านข้างเพื่อคอยแทนตำแหน่งของใครบางคน"[ 16] ผู้เล่นกองกลางตัวรับที่ดีจะต้องคอยระวังตำแหน่งตนเอง, คาดเดาการเล่นของคู่แข่ง, คุมตำแหน่ง, แย่งบอล, ขัดขวาง, ส่งบอล และมีความอึดและความแข็งแกร่งที่ดีเพื่อการแย่งบอล
กองกลางตัวคุมเกม (อังกฤษ : holding midfielder ) หรือกองกลางแนวลึก (อังกฤษ : Deep-lying midfielder ) จะคอยยืนตำแหน่งใกล้กับกองหลัง เมื่อกองกลางคนอื่นจะคอยเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเพื่อทำเกมรุก[ 17] กองกลางตัวคุมเกมจะคอยรับผิดชอบเมื่อทีมได้บอล ผู้เล่นในตำแหน่งนี้จะคอยส่งบอลสั้นไปยังแนวรุกของทีม แต่อาจจะส่งบอลยาวหรือส่งบอลตรง ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของทีมมาร์เซโล บิเอลซา ถือเป็นผู้เล่นที่เริ่มต้นเล่นในตำแหน่งกองกลางตัวคุมเกมที่มีตำแหน่งป้องกัน[ 7] ตำแหน่งนี้จะปรากฏอยู่ในแผนการเล่น4–2–3–1 และ4–4–2 ไดมอนด์ [ 18]
ในระยะแรก กองกลางตัวรับ (หรือตัวทำลายเกม) และ กองกลางตัวทำเกม จะอยู่ในทีมที่ใช้กองกลางตัวคุมเกม 2 คน โดยตัวทำลายเกมจะคอยสกัดกั้น, ทำให้ทีมกลับมาครองบอล และจ่ายบอลไปยังตัวทำเกม ส่วนกองกลางตัวสร้างสรรค์เกมจะคอยครองบอลและพาบอลเคลื่อนที่ไปด้านหน้า หรืออาจจะส่งบอลยางไปยังด้านข้าง ซึ่งกองกลางตัวลึกในอดีตเรียกว่า "รีจิสตา" (อังกฤษ : Regista) ตัวอย่างกองกลางตัวทำลายเกมที่มีชื่อเสียงในอดีต เช่นน็อบบี สไตส์ ,แอร์แบร์ต วิมเมอร์ และมาร์โค ทาร์เดลลี และในยุคหลัง เช่นโกลด มาเกเลเล และฆาบิเอร์ มัสเชราโน ซึ่งผู้เล่นเหล่านี้อาจจะสามารถเล่นได้ในหลายตำแหน่ง โดยกองกลางตัวสร้างสรรค์เกมที่มีชื่อเสียงในอดีต เช่นแกร์ซง ,เกล็นน์ ฮ็อดเดิล และซันเดย์ โอลิเซ และในยุคหลัง เช่นชาบี อาลอนโซ และไมเคิล แคร์ริก ซึ่งปัจจุบันนั้นมีรูปแบบของกองกลางตัวคุมเกมที่ถูกพัฒนาใหม่เป็น กองกลางบ็อกซ์ทูบ็อกซ์ โดยจะไม่เป็นทั้งกองกลางตัวทำลายเกมหรือกองกลางตัวสร้างสรรค์เกม ซึ่งจะคอยแย่งบอลจากฝ่ายตรงข้ามและวิ่งจากแนวลึกเพื่อส่งบอลให้กับทีมหรืออาจจะวิ่งไปยังพื้นที่เขตโทษของฝ่ายตรงข้าม ตัวอย่างกองกลางบ็อกซ์ทูบ็อกซ์ในปัจจุบัน เช่นยาย่า ตูเร และบัสทีอัน ชไวน์ชไตเกอร์ ส่วนซามี เคดีรา และเฟร์นังจิญญู เป็นกองกลางตัวทำลายเกมที่มีการครองบอลที่ดี[ 7]
อันเดรอา ปีร์โล กองกลางแนวลึกชาวอิตาลีกำลังจ่ายบอล ซึ่งปีร์โลถือว่าเป็นหนึ่งในกองกลางแนวลึกที่ดีที่สุดตลอดกาลกองกลางแนวลึก (อังกฤษ : deep-lying playmaker ) เป็นกองกลางตัวคุมเกมที่จะมีความสามารถในการจ่ายบอลมากกว่าการแย่งบอลหรือการเล่นในแนวรับ[ 20] เมื่อผู้เล่นในตำแหน่งนี้ได้บอล จะคอยส่งบอลยาวหรือส่งบอลที่ซับซ้อนมากกว่าที่จะคอยคุมผู้เล่นฝ่ายตรงข้าม เป็นส่วนสำคัญในการคุมจังหวะของเกม, การครองบอลของทีม หรือการสร้างสรรค์การเล่นด้วยการจ่ายบอลสั้นหรือการจ่ายบอลยาวไปยังกองหน้า หรือปีก ซึ่งอาจจะส่งบอลไปยังที่ว่างระหว่างกองหลังและกองกลางฝ่ายตรงข้าม[ 20] [ 21] [ 22] ในประเทศอิตาลี ตำแหน่งกองกลางแนวลึกเรียกว่า "รีจิสตา" (Regista)[ 23] ส่วนในประเทศบราซิล เรียกว่า "เมีย-อามาดอร์" (Meia-armador)[ 24]
แผนการเล่น 2–3–5 มีกองกลางเซ็นเตอร์ฮาล์ฟอยู่กลางสนาม (สีเหลือง) ฟุตบอลในยุคอดีตมีตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ (อังกฤษ : centre-half ) ซึ่งจะค่อย ๆ ถอยจากการยืนตำแหน่งในกองกลางเพื่อป้องกันการบุกจากกองหน้าฝ่ายตรงข้าม โดยมีชื่อเรียกมาจากกองหลังตัวกลาง ที่ในเรียกว่า "เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ"[ 25]
กองกลางตัวรุก (อังกฤษ : Attacking midfielders ) เป็นกองกลางที่ยืนตำแหน่งด้านหน้าของกองกลางปกติ ส่วนใหญ่จะอยู่ระหว่างกองกลางตัวกลางกับกองหน้า โดยจะเล่นในเกมรุกเป็นหลัก[ 26] ในบางครั้งกองกลางตัวรุกอาจจะถูกเรียกว่า "เทรควาร์ทิสตา" (อังกฤษ : Trequartista ) หรือ "ฟันตาซิสตี" (อิตาลี : Fantasisti ) ซึ่งหมายถึงกองกลางตัวสร้างสรรค์เกมที่อยู่ระหว่างกองหน้ากับกองกลาง มีความคล่องตัวสูง, มีการเล่นที่สร้างสรรค์และมีความสามารถพิเศษสูง, มีความคล่องแคล่ว, มีความคิดในการทำเกม, สามารถยิงประตูจากระยะไกลได้ และ มีการส่งบอลที่ยอดเยี่ม อย่างไรก็ดี กองกลางตัวรุกและเทรควาร์ทิสตาจะเล่นด้วยตำแหน่งนี้ ซึ่งกองกลางตัวรุกบางคนจะยืนตำแหน่งเป็นกองหน้าตัวต่ำ ที่จะคอยส่งบอลไปยังกองหน้า หรือส่งบอลเพื่อทำประตู[ 27]
ตามตำแหน่งในสนาม กองกลางตัวรุกอาจจะแบ่งเป็นกองกลางตัวรุกด้านซ้าย, ด้านขวา และตัวกลาง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการช่วยกองหน้าทำประตู โดยกองกลางตัวรุกตัวกลาง อาจจะเรียกว่า "ตัวสร้างสรรค์เกม" (อังกฤษ : Playmaker ) หรือ "ผู้เล่นหมายเลข 10" (ตามเสื้อหมายเลข 10 ที่อยู่ในตำแหน่งนี้)[ 28] [ 29] กองกลางตัวรุกที่ดีจะต้องมีทักษะการส่งบอลที่ดี, มีความคิดในการสร้างสรรค์เกม, สามารถยิงประตูจากระยะไกลได้ และมีทักษะการเลี้ยงบอลที่ดี
กองกลางตัวสร้างสรรค์เกม[ แก้ ] ฟรันเชสโก ตอตตี กองกลางตัวสร้างสรรค์เกมชาวอิตาลี ลงเล่นให้กับโรมา ในปี ค.ศ. 2013ผู้เล่นในตำแหน่งนี้จะเป็นผู้เล่นที่สามารถเปลี่ยนเกมได้ โดยกองกลางตัวรุกเป็นตำแหน่งสำคัญที่จะต้องมีผู้เล่นที่มีทักษะสูงทั้งการส่งบอลและการเลี้ยงบอล เช่นเดียวกับการอ่านเกมเพื่อที่จะสร้างสรรค์เกมไปยังแนวรับของฝ่ายตรงข้าม
หน้าที่หลักของกองกลางตัวสร้างสรรค์เกมคือการยิงประตูและสร้างโอกาสการทำประตู โดยใช้ทักษะต่าง ๆ อาจจะเปิดบอล, ส่งบอล หรือการโหม่งให้กับเพื่อนร่วมทีม โดยอาจจะทำประตูด้วยการเลี้ยงบอลหลบคู่แข่งหรือการชิ่งบอลกับเพื่อนร่วมทีม ซึ่งกองกลางตัวรุกอาจจะวิ่งไปยังพื้นที่เขตโทษของฝ่ายตรงข้ามเพื่อทำประตูจากการส่งบอลของเพื่อนร่วมทีม[ 2]
ตำแหน่งกองกลางตัวรุก เช่น กองกลางตัวสร้างสรรค์เกม ถูกใช้อย่างแพร่หลายในฟุตบอลยุคปัจจุบัน ซึ่งในตำแหน่งนี้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้เล่นที่มีชื่อเสียง โดยส่วนมากจะสวมเสื้อหมายเลข 10 ทีมอาจจะใช้แผนการเล่นที่ปล่อยให้กองกลางตัวรุกวิ่งช่วยเหลือเพื่อนหรือสร้างสรรค์เกม โดยหนึ่งในแผนการเล่นที่ใช้กองกลางตัวรุกที่เป็นที่นิยมคือ 4–4–2 ไดมอนด์ (หรือ 4–1–2–1–2) ซึ่งจะมีตำแหน่งผู้เล่นกองกลางตัวรุกและกองกลางตัวรับแทนการใช้ตำแหน่งกองกลางตัวกลางในอดีต อาจจะเรียกว่า "เทรควาร์ทิสตา" (อังกฤษ : Trequartista ) หรือ "ฟันตาซิสตี" (อิตาลี : Fantasisti )[ 27] ส่วนในประเทศบราซิล เรียกว่า "เมีย-อามาดอร์" (โปรตุเกส : Meia-armador )[ 24] และในประเทศอาร์เจนตินา และประเทศอุรุกวัย เรียกว่า "เอนกันเช" (สเปน : Enganche )[ 30]
กองกลางตัวรุกแบบฟอลส์[ แก้ ] กองกลางตัวรุกแบบฟอลส์ (อังกฤษ : false attacking midfielder ) ใช้ในฟุตบอลอิตาลี เป็นตำแหน่งของผู้เล่นในแผนการเล่นแบบ 4–3–1–2 ซึ่งจะยืนลึกลงไปในตำแหน่งกองกลาง และพยายามสร้างพื้นที่ให้กับเพื่อนร่วมทีมในการวิ่งทำเกมรุก โดยกองกลางตัวรุกแบบฟอลส์ อาจจะยืนอยู่ในตำแหน่งเดียวกับกองกลางตัวกลางและเล่นเหมือนเป็นกองกลางตัวลึก ซึ่งจะต้องใช้ทักษะความสร้างสรรค์, ทักษะส่วนตัวในการเคลื่อนที่, การจ่ายบอลที่ดี และการยิงประตูระยะไกล โดยตำแหน่งนี้จะต้องวิ่งค่อนข้างเยอะ เนื่องจากต้องอ่านเกมและช่วยทีมในเกมรับ[ 31]
ฟอลส์ 10 หรือ ปีกตัวกลาง[ แก้ ] ฟอลส์ 10 (อังกฤษ : false 10 ) หรือปีกตัวกลาง (อังกฤษ : central winger )[ 32] เป็นรูปแบบหนึ่งของกองกลางที่จะแตกต่างจากกองกลางตัวรุกแบบฟอลส์ โดยจะมีรูปแบบคล้ายคลึงกับ "ฟอลส์ 9 " จะทำหน้าที่ไม่เหมือนกับกองกลางตัวสร้างสรรค์เกมที่อยู่ด้านหลังของกองหน้า แต่เป้าหมายของฟอลส์ 10 คือการครองบอลในแนวกว้างและเปิดบอลยาวไปยังที่ว่างเพื่อช่วยเหลือปีกและฟุลแบ็กทั้งสองข้าง ซึ่งจะสร้างปัญหาให้กับกองกลางฝ่ายตรงข้าม ที่จะต้องระวังทั้งฟอลส์ 10 และปีกหรือฟุลแบ็กทั้งสองด้าน ซึ่งฟอลส์ 10 อาจจะช่วยในการปล่อยให้กองกลางหาที่ว่างได้มากขึ้น โดยในอดีตเป็นจะใช้ปีกมาเล่นในตำแหน่งกลางสนามนี้ และพยายามที่จะพาบอลไปทั้งด้านข้างและตรงกลางเพื่อที่จะหาช่องในการส่งบอลให้กับเพื่อนร่วมทีม ในบางครั้ง อาจจะมีทั้งฟอลส์ 10 และฟอลส์ 9 ทั้ง 2 ตำแหน่งในทีมเดียวกัน เช่นในแผนการเล่น 4–6–0 ซึ่งดัดแปลงมาจาก 4–3–3 หรือ 4–2–3–1 เมื่อทีมบุกไปด้านหน้า ฟอลส์ 9 จะถอยกลับมาเพื่อดึงกองหลังออกจากฟอลส์ 10 และสร้างพื้นที่ให้เพื่อนร่วมทีมกลางสนาม โดยฟอลส์ 10 จะพยายามวิ่งออกจากตำแหน่งเพื่อหาพื้นที่ให้กับทีม หรืออาจจะเลี้ยงบอลไปยังพื้นที่เขตโทษเพื่อทำประตูหรือส่งบอลให้กับฟอลส์ 9 ซึ่งจะช่วยสร้างโอกาสในการทำประตูเพิ่มขึ้น[ 33]
ในฟุตบอลสมัยใหม่ ปีกหรือผู้เล่นด้านกว้างจะหมายถึงผู้เล่นที่ไม่ใช่ผู้เล่นแนวรับที่เล่นด้านซ้ายหรือด้านขวาของสนาม อาจจะหมายถึงกองกลางตัวซ้ายหรือตัวขวา, กองกลางตัวรุกด้านซ้ายหรือด้านขวา และกองหน้า ด้านซ้ายหรือด้านขวา[ 8] วิงแบ็ก ด้านซ้ายหรือขวา หรือฟุลแบ็ก ด้านซ้ายหรือขวา ไม่ถือว่าเป็นตำแหน่งปีก
ในแผนการเล่น 2−3−5 เป็นแผนการเล่นที่ได้รับความนิยมในปลายศตวรรษที่ 19 โดยปีกทั้งสองข้างจะอยู่ด้านข้างของสนาม และเปิดบอลให้กับกองหน้าด้านในหรือกองหน้าตัวกลาง[ 34] ในอดีต ปีกจะทำหน้าที่เล่นเกมรุกเพียงอย่างเดียว โดยไม่ต้องช่วยทีมในเกมรับ แต่มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงยุค 1960 ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 1966 อัลฟ์ แรมซีย์ ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ ไม่ได้ส่งผู้เล่นให้ลงตำแหน่งปีกตั้งแต่รอบ 8 ทีมสุดท้าย โดยได้ฉายาว่า "Wingless Wonders" โดยเล่นในแผนการเล่น 4–4–2 แบบใหม่[ 35] [ 36]
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาในยุคใหม่ ผู้เล่นด้านกว้างจะคอยติดตามบอลและช่วยฟุลแบ็กในการไล่บอลเกมรับมากขึ้น ซึ่งจะต้องทำหน้าที่ทั้งเกมรับและเกมรุกโดยการช่วยเปิดบอลไปยังกองหน้า[ 37] โดยกองหน้าบางตำแหน่งจะเล่นในตำแหน่งปีกอยู่ด้านหลังกองหน้าเดี่ยว โดยในแผนการเล่นที่ใช้ผู้เล่นกองกลาง 3 คน ปีกอาจจะเป็นกองกลางไปเล่นด้านกว้างแทน
ในปัจจุบันอาจจะเป็นบทบาทของวิงแบ็ก ที่เป็นผู้เล่นด้านกว้างที่เล่นในเกมรับและรุก[ 38] ในตำแหน่งปีกอาจจะจัดว่าเป็นกองหน้าหรือกองกลางก็ได้ ส่วนวิงแบ็กนั้นยังไม่ชัดเจนว่าเป็นกองหลังหรือกองกลาง
ปีก (สีแดง) และ ผู้เล่นด้านกว้างหรือกองกลางตัวกลางด้านกว้าง (สีน้ำเงิน) ปีกอาจจะเป็นกองกลางตัวรุกที่เล่นในตำแหน่งด้านกว้าง[ 37] ปีกอย่างสแตนลีย์ แมทธิว หรือจิมมี จอห์นสโตน เป็นปีกในยุคก่อนที่จัดว่าเป็นกองหน้าในแผนการเล่นรูปแบบดับเบิลยู (W-shaped) ผู้เล่นในตำแหน่งนี้เคยถูกเรียกว่ากองหน้าตัวนอกด้านกว้าง แต่เมื่อผ่านมาใน 40 ปีหลัง ตำแหน่งปีกได้ถอยลงไปและจัดว่าอยู่ในตำแหน่งกองกลาง ซึ่งส่วนมากจะใช้ในแผนการเล่น 4–4–2 หรือ 4–5–1 (ซึ่งเมื่อทีมกำลังบุก รูปแบบการเล่นจะถูกเปลี่ยนเป็น 4–2–4 และ 4–3–3 ตามลำดับ)
หน้าที่ของปีก:
คอยวิ่งสอดแทรกเมื่อมีการจ่ายบอลไปยังที่ว่างด้านกว้าง ปะทะกับฟุลแบ็กของผ่ายตรงข้ามด้วยทักษะหรือความเร็ว อ่านการส่งบอลจากกองกลางและวิ่งหาช่องว่างเพื่อทำเกมรุก เพื่อทำการเปิดบอลหรือวิ่งตัดเข้าด้านในเพื่อทำประตู ช่วยเกมรับในการติดตามปีกฝ่ายตรงข้าม บทบาทของปีกคือความรวดเร็วในการวิ่งและการเล่นบอลด้านกว้าง ซึ่งหน้าที่หลักคือการวิ่งด้านกว้างและเปิดบอลเข้าไปในพื้นที่เขตโทษ หรือปีกบางตำแหน่งจะวิ่งตัดเข้าไปด้านใน เพื่อที่จะกดดันผู้เล่นกองกลางฝ่ายตรงข้ามและส่งบอลไปยังกองหน้าเพื่อทำประตู ผู้เล่นที่อาจจะไม่ได้มีความรวดเร็วก็เป็นปีกที่ดีได้เช่นกันจากการทำหน้าที่ตามบทบาทที่ดีทั้งเกมรุกและเกมรับ
ความสามารถของปีก:
ทักษะทางเทคนิคในการเอาตัวรอดเพื่อเอาชนะฟุลแบ็ก วิ่งเพื่อเอาชนะฟุลแบ็ก การเปิดบอลที่แม่นยำ การวิ่งทำทางเมื่อไม่มีบอลและการอ่านเกมการส่งบอลของกองกลางหรือกองหน้า มีทักษะการส่งบอลและมีสมาธิที่ดี เพื่อที่จะครองบอลในพื้นที่ฝ่ายตรงข้าม ปีกในยุคใหม่อาจจะต้องมีการปรับด้านการยืนจากซ้ายไปขวาหรือขวาไปซ้ายที่รวดเร็วตามแผนการเล่นของผู้ฝึกสอน อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันปีกเป็นหนึ่งในตำแหน่งของฟุตบอลที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่ก็ยังมีหลายสโมสรที่เล่นโดยไม่ใช้ปีก เช่นเอซี มิลาน ในยุค 2000 ซึ่งแผนการเล่นของการ์โล อันเชลอตตี จะไม่ใช้ปีก โดยจะใช้กองกลางด้านในแบบไดมอนด์หรือแผนต้นคริสต์มาส (4–3–2–1) และใช้ฟุลแบ็กโดยเป็นกองหลังด้านกว้างแทน
เมแกน ราพิโน กองกลางของฟุตบอลหญิงทีมชาติสหรัฐอเมริกา กำลังลงเล่นในตำแหน่งปีกแบบสลับด้าน ปีกแบบสลับด้าน (อังกฤษ : Inverted winger ) เป็นตำแหน่งแบบใหม่ที่พัฒนาจากตำแหน่งปีกแบบดั้งเดิม โดยปกตินั้น ปีกจะอยู่ในด้านตามเท้าที่ถนัด เช่น ผู้เล่นที่ถนัดเท้าซ้ายจะเล่นปีกด้านซ้าย และผู้เล่นที่ถนัดเท้าขวาจะเล่นปีกด้านขวา[ 39] ซึ่งจะให้ประสิทธิภาพในการเปิดบอลเข้าพื้นที่เขตโทษได้ดีตามเท้าข้างที่ถนัด แต่ปีกแบบสลับด้านนั้นจะเน้นในเรื่องของการวิ่งตัดเข้าด้านในเพื่อทำประตู (เช่น ผู้เล่นที่ถนัดเท้าขวาจะเล่นปีกแบบสลับด้านในด้านซ้าย) ซึ่งมีประโยชน์ในการช่วยกองหน้า และทำเกมรุกได้อย่างเต็มที่[ 40]
ในปีกแบบดั้งเดิมนั้นมีหน้าที่ในการช่วยดึงฟุลแบ็กจากฝ่ายตรงข้ามออกมาและการเปิดบอลจากด้านข้างแล้ว ส่วนปีกแบบสลับด้านจะลงเล่นในตำแหน่งปีกและวิ่งตัดเข้ากรอบ 18 หลา หรือการวิ่งรับบอลจากเพื่อนร่วมทีมเพื่อเข้ามาทำประตูด้วยเท้าข้างที่ถนัด[ 41] โดยตำแหน่งนี้ได้รับความนิยมในฟุตบอลยุคใหม่ซึ่งทำให้ตำแหน่งปีกสามารถเล่นเป็นทั้งตัวสร้างสรรค์เกมและผู้ทำประตู[ 42] เช่นโดเมนีโก เบราร์ดี ปีกขวาที่ถนัดซ้ายของซัสซูโอโล ที่สามารถทำประตูได้ถึง 30 ประตู โดยทำประตูได้เร็วกว่าผู้เล่นอื่น ๆ ในการแข่งขันเซเรียอา 50 ปีล่าสุด[ 43] นอกจากการช่วยดึงฟุลแบ็กในฝั่งที่เท้าของกองหลังฝ่ายตรงข้ามไม่ถนัดแล้ว ยังช่วยตัดเข้าด้านในเป็นกองหน้าและให้วิงแบ็กวิ่งขึ้นมาเติมเกม เพื่อสร้างโอกาสในการทำประตูมากขึ้น[ 44]
กองกลางที่ประสบความสำเร็จในการเล่นปีกแบบสลับด้าน เช่นลิโอเนล เมสซิ และแกเร็ธ เบล ซึ่งโชเซ มูรีนโย อดีตผู้จัดการทีมเรอัลมาดริด ได้เลือกที่จะเล่นในตำแหน่งปีกสลับข้าง ใช้อังเฆล ดิ มาริอา ยืนด้านขวา และคริสเตียโน โรนัลโด ยืนด้านซ้าย หรือยุพ ไฮน์เคิส อดีตผู้จัดการทีมบาเยิร์นมิวนิก เลือกใช้อาร์เยิน โรบเบิน ยืนด้านขวา และฟร็องก์ รีเบรี ยืนด้านซ้าย[ 45] หนึ่งในการเล่นที่สำคัญของปีกแบบสลับด้านคือเยอร์เกิน กราบอฟสกี ปีกชาวเยอรมนี ซึ่งช่วยให้เยอรมนีได้อันดับที่ 3 ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 1970 และแชมป์ฟุตบอลโลก 1974
↑ "Positions guide: Central midfield" . London: BBC Sport. 1 September 2005. สืบค้นเมื่อ27 August 2013 .1 2 "Football / Soccer Positions" . Expert Football. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2012-11-23. สืบค้นเมื่อ21 June 2008 .↑ Di Salvo, V. (6 October 2006). "Performance characteristics according to playing position in elite soccer".International Journal of Sports Medicine .28 (3): 222–7.doi :10.1055/s-2006-924294 .PMID 17024626 . ↑ "Formations guide" .BBC . สืบค้นเมื่อ31 October 2014 .↑ "Box to box Bowyer" . London: BBC Sport. 29 April 2002. สืบค้นเมื่อ21 June 2008 .↑ Cox, Michael (4 June 2014)."In praise of the box-to-box midfielder" .ESPN FC . สืบค้นเมื่อ31 October 2014 . 1 2 3 Wilson, Jonathan (18 December 2013)."The Question: what does the changing role of holding midfielders tell us?" .The Guardian . สืบค้นเมื่อ31 October 2014 .1 2 "Wide midfielder" .BBC . สืบค้นเมื่อ1 November 2014 .↑ "Formations guide" . London: BBC Sport. สืบค้นเมื่อ22 July 2013 .↑ Taylor, Daniel (18 February 2010)."Milan wrong to play David Beckham in central midfield says Sir Alex Ferguson" .The Guardian . England. สืบค้นเมื่อ22 July 2013 . ↑ "Football Glossary, Letter W" . Football Bible. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2019-10-16. สืบค้นเมื่อ12 August 2017 .↑ Cox, Michael (20 January 2013)."Manchester United nullified Gareth Bale but forgot about Aaron Lennon" .The Guardian . สืบค้นเมื่อ31 October 2014 . ↑ Cox, Michael (16 July 2010)."The final analysis, part three: brilliant Busquets" . zonalmarking.net. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2019-07-06. สืบค้นเมื่อ28 July 2013 . ↑ Cox, Michael (10 February 2013)."How Manchester United nullified threat of Everton's Marouane Fellaini" .The Guardian . สืบค้นเมื่อ31 October 2014 . ↑ Cox, Michael (3 March 2010)."Analysing Brazil's fluid system at close quarters" . zonalmarking.net. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2019-07-06. สืบค้นเมื่อ28 July 2013 . 1 2 Lowe, Sid."Sergio Busquets: Barcelona's best supporting actor sets the stage" .The Guardian . สืบค้นเมื่อ30 October 2014 . ↑ F., Edward (28 January 2014)."On Going Beyond Holding Midfielders" .Cartilage Free Captain . สืบค้นเมื่อ31 October 2014 . ↑ Cox, Michael (29 January 2010)."Teams of the Decade #11: Valencia 2001-04" . zonalmarking.net. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2019-11-07. สืบค้นเมื่อ28 July 2013 . ↑ Wilson, Jonathan (2013).Inverting the Pyramid . Nation Books.ISBN 9781568589633 .1 2 Cox, Michael (19 March 2012)."Paul Scholes, Xavi and Andrea Pirlo revive the deep-lying playmaker" .The Guardian . สืบค้นเมื่อ1 November 2014 . ↑ Goldblatt, David (2009).The Football Book . Dorling Kindersley. pp. 48 .ISBN 978-1405337380 . ↑ Dunmore, Thomas (2013).Soccer for Dummies . John Wiley & Sons.ISBN 978-1-118-51066-7 . ↑ "The Regista And the Evolution Of The Playmaker" . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2019-11-07. สืบค้นเมื่อ5 January 2015 .1 2 "Playmaker" . MTV. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2015-07-27. สืบค้นเมื่อ5 January 2015 .↑ Wilson, Jonathan (20 September 2011)."The Question: Did Herbert Chapman really invent the W-M formation?" .The Guardian . สืบค้นเมื่อ9 April 2012 . ↑ "Positions in football" . talkfootball.co.uk. สืบค้นเมื่อ21 June 2008 .1 2 "The Number 10" . RobertoMancini.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2017-12-19. สืบค้นเมื่อ13 July 2016 .↑ Wilson, Jonathan (18 August 2010)."The Question: What is a playmaker's role in the modern game?" .TheGuardian.com . สืบค้นเมื่อ1 December 2014 . ↑ Cox, Michael (26 March 2010)."How the 2000s changed tactics #2: Classic Number 10s struggle" .ZonalMarking.net . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2019-04-08. สืบค้นเมื่อ1 December 2014 . ↑ "Tactics: the changing role of the playmaker" . สืบค้นเมื่อ5 January 2015 .↑ James Horncastle."Horncastle: Riccardo Montolivo straddles both sides of the Germany/Italy divide" . The Score. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2014-08-21. สืบค้นเมื่อ20 August 2014 . ↑ "Introducing…the central winger?" . zonalmarking.net. 3 December 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2019-11-07. สืบค้นเมื่อ27 August 2013 .↑ "The False-10" . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2017-11-11. สืบค้นเมื่อ16 June 2012 .↑ Wilson, Jonathan (2013)."It's a Simple Game" .Football League 125 . สืบค้นเมื่อ1 December 2014 . ↑ Galvin, Robert."Sir Alf Ramsey" . National Football Museum. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 June 2011. สืบค้นเมื่อ11 July 2008 . {{cite web }}: CS1 maint: unfit URL (ลิงก์ )↑ "Chelsea prayers fly to the wings" . FIFA. 5 March 2006. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2013-10-24. สืบค้นเมื่อ25 June 2008 .1 2 "Positions guide: Wide midfield" . London: BBC Sport. 1 September 2005. สืบค้นเมื่อ21 June 2008 .↑ "Positions guide: Wing-back" . London: BBC Sport. 1 September 2005. สืบค้นเมื่อ21 June 2008 .↑ Barve, Abhijeet (28 February 2013)."Football Jargon for dummies Part 2- Inverted Wingers" . Football Paradise. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2018-10-03. สืบค้นเมื่อ29 October 2015 . ↑ Wilson, Johnathan (2013).Inverting The Pyramid: The History of Soccer Tactics . New York, NY: Nation Books. pp. 373 , 377.ISBN 1568587384 . ↑ Wilson, Jonathan (24 March 2010)."The Question: Why are so many wingers playing on the 'wrong' wings?" .The Guardian . สืบค้นเมื่อ15 October 2015 . ↑ Singh, Amit (21 June 2012)."Positional Analysis: What Has Happened To All The Wingers?" . Just-Football.com. ↑ Newman, Blair (8 September 2015)."The young players who could rejuvenate Antonio Conte's Italy at Euro 2016" .The Guardian . สืบค้นเมื่อ29 October 2015 . ↑ Goodman, Mike L. (6 June 2014)."How to Watch the World Cup Like a True Soccer Nerd" . Grantland. สืบค้นเมื่อ15 October 2015 . ↑ Koch, Ben (1 February 2011)."Tactics Tuesday: Natural vs. Inverted Wingers" .Fútbol for Gringos . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2019-11-07. สืบค้นเมื่อ29 October 2015 .